- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 4 hours ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 4 hours ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 4 hours ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 5 hours ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 1 day ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 4 days ago
- เลิกเสียเงินกับเรื่องโง่ๆPosted 5 days ago
- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 6 days ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 1 week ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 1 week ago
กับดักรัฐประหาร! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเล่าเรื่องความเปลี่ยนแปลงของประเทศเวียดนามที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในอาเซียน ขณะเดียวกันก็บ่นว่าประเทศไทยของเราเดิน “ต้วมเตี้ยม” เพราะติด “กับดักรัฐประหาร” ที่มีบ่อยที่สุดอันดับต้นๆของโลก ปรากฏว่ามีแฟนคอลัมน์บางท่านบอกว่า ผู้การป๊อปเล่าเรื่องเป็น “นามธรรม” มากไปหรือเปล่า และที่สำคัญก็คือผมมี “อคติ” กับรัฐบาล คสช. ใช่หรือไม่?
ด้วยความเคารพท่านที่ถามมาถือว่ามี “เหตุผล” จริงๆ และผมคิดว่าควรนำมาตอบในคอลัมน์นี้แทนที่จะตอบเป็นการส่วนตัวน่าจะดีกว่า เพราะถ้ามีคนตั้งคำถามแบบนี้ก็น่าจะมีท่านอื่นสงสัยในประเด็นนี้เหมือนกัน ดังนั้น การอธิบายด้วยคำตอบที่ใช้เหตุใช้ผลก็น่าจะคลายความข้องใจลงไปได้ไม่มากก็น้อย
ผมขอตอบเรื่องการมี “อคติ” เสียก่อน ผมจำได้ว่าเคยยืนยันหลายครั้งในคอลัมน์ของผมว่า ผมไม่เคยมีอคติกับพี่ๆทุกท่านใน คสช. ผมเองเป็นรุ่นน้องและเรียนจบสถาบัน “เตรียมทหาร” เช่นเดียวกับพี่ๆทุกท่าน โรงเรียนของเราสอนให้นักเรียนทุกคนต้องเสียสละปกป้อง ยึดมั่น และเทิดทูนสถาบัน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ามันถูกฝังรากลึกลงในหัวใจของนักเรียนทหารที่จบจากสถาบันหลักทุกคน
ทุกๆวันในโรงเรียนเตรียมทหาร พวกเราทุกคนจะเปล่งเสียงปฏิญาณต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์เสด็จพ่อ ร.5 ว่า พวกเราจะพิทักษ์รักษาสถาบันและจักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยเลือดเนื้อของเรา และเมื่อทุกคนแยกไปศึกษาต่อในโรงเรียนของเหล่าทัพ พวกเราก็ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ผู้ทรงเป็น “จอมทัพไทย”
คำสัตย์ปฏิญาณเหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อทหารทุกคน ไม่ว่าเขาจะรับราชการอยู่หรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อพี่ๆทุกท่านออกมากระทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลประชาชน ผมก็เชื่อว่าทุกท่านกระทำด้วยความจำเป็นและจริงใจตามที่พูดอยู่เสมอว่า ทหารต้องเสียสละเข้ามายึดอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชน
ตรงนี้แหละครับที่ผมขอยืนยันว่าผมไม่มี “อคติ” เพราะผมเชื่อว่าพี่ๆทุกท่านมีเจตนาดีที่จะช่วยเหลือประเทศตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ทุกท่านได้ประกาศเอาไว้ในวันยึดอำนาจ แต่สิ่งที่ผมพยายามชี้และอธิบายมาตลอดก็คือเรื่องของ “วิธีการ” เพราะผมไม่เชื่อว่าการรัฐประหารยึดอำนาจมาจากประชาชนจะช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างแท้จริง
เพราะไม่เคยมีเลยสักครั้งในอดีตที่ผ่านมาที่การยึดอำนาจเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ดังนั้น การที่พี่ๆทุกท่านเลือกที่จะทำรัฐประหารจึงเป็นการซ้ำเติมประเทศให้บอบช้ำมากขึ้นอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่เชื่อผมขออนุญาตยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวที่เป็น “รูปธรรม” ให้เห็น เพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้มีอคติกับใครทั้งสิ้น แม้จะดูเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ก็อธิบาย “ผลลัพธ์” และ “ผลร้าย” ของการรัฐประหารได้ไม่มากก็น้อย
ผมอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นส่วนใหญ่ นอกจากการลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องประชาชนในเขตสายไหมที่ผมเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเขตใกล้เคียงที่อยู่บริเวณกรุงเทพฯโซนเหนือและโซนตะวันออกแล้ว ชีวิตประจำวันโดยทั่วไปก็วนเวียนอยู่ในเมืองหลวงของเรามาโดยตลอด
หลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 จะเห็นว่ารัฐบาล คสช. ไม่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเลยจริงๆ เราจะสังเกตเห็นความถดถอยในการประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท เรื่องที่เป็นตัวอย่างให้เห็นได้อย่างชัดเจนเพียงแค่ท่านมองไปรอบๆตัวเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ การชะลอตัวและการล่มสลายของธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร
เพียงแค่ 3 ปีเศษที่ผ่านมา ผมเห็นร้านอาหารจำนวนมากต้องปิดตัวลง มีทั้งร้านข้าวแกงข้างถนนไปจนถึงร้านอาหารดังๆที่เคยเปิดบริการให้ความสุขกับลูกค้ามาหลายสิบปี ตอนแรกที่ผมและเพื่อนๆเริ่มสังเกตเห็นยังนึกว่าพวกเราอาจคิดมากกันไปเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปและมีร้านอาหารต่างๆปิดกิจการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้ถือว่าไม่ธรรมดาซะแล้ว
และก็เป็นจริงอย่างที่คิด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา คุณฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้ออกมาเปิดเผยกับสำนักข่าวไทยรัฐว่า สถานการณ์ของภัตตาคารและร้านอาหารไทยในปัจจุบันอยู่ในสภาพแย่และเหงาหงอย แม้บางร้านที่มีผู้เข้าใช้บริการ แต่ก็จำกัดการใช้จ่ายมากกว่าเดิม เพราะคนกังวลว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีจึงระมัดระวังการใช้จ่ายอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของสมาคมภัตตาคารไทยพบว่า ยังไม่มีร้านอาหารที่เป็นสมาชิกร้านใดปิดกิจการลง เนื่องจากคนทำธุรกิจก็ต้องพยายามดิ้นรนกันไป แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ร้านอาหารจะต้องมีสภาพคล่อง เจ้าของกิจการจึงเริ่มหันเข้าไปหาการกู้เงินจากหนี้นอกระบบมากขึ้น จึงเกรงว่าจะเกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาในภายหลัง
นายกสมาคมภัตตาคารไทยเล่าว่า “เท่าที่พูดคุยในแวดวงคนทำร้านอาหาร มีร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งปรกติขายได้วันละ 60,000 บาท และวันเสาร์–อาทิตย์ยอดขายเกิน 100,000 บาท ทุกวันนี้เหลือวันละ 20,000-30,000 บาท ยอดขายตกลงจนน่าใจหาย”
ที่น่ากังวลเข้าไปอีกคือ ร้านขายส้มตำไก่ย่าง เช่น “พระราม 9 ไก่ย่าง” ซึ่งถือเป็นตัววัดสำคัญในแวดวงร้านอาหาร ตามปรกติแล้วไม่เคยยอดขายตกแม้ช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง แต่ตอนนี้ยอดขายตกลงถึง 30% เรียกว่าแม้แต่คนกินส้มตำยังบ่นเลย ทั้งๆที่อาหารอีสานถือว่าราคาไม่แพง ราคาเฉลี่ยคนละ 100-300 บาทเท่านั้น
นอกจากนั้นคุณฐนิวรรณยังกล่าวอีกว่า “กลุ่มคนรวยก็ยังกินอยู่อย่างคนรวย ใช้ชีวิตหรูหรา แต่คนชนชั้นกลางและระดับล่างลำบากจริงๆ วิเคราะห์กันว่าเป็นผลกระทบจากสถานการณ์พืชผลเกษตรไม่ดี ราคาตก จึงส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ อีกทั้งธุรกิจประมงได้รับผลกระทบจากการแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมายและการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว จึงทำให้ธุรกิจส่งออกและธุรกิจห้องเย็นซบเซาลง กระทบกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องไปด้วย”
ส่วนร้านอาหารที่อยู่บนห้างสรรพสินค้าตอนนี้อยู่ในสภาวะร้อนๆหนาวๆกันหลายแห่ง เพราะมีต้นทุนจากค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าลูกจ้าง หรือแม้กระทั่งศูนย์อาหารหรือฟู้ดคอร์ตในห้างสรรพสินค้าที่แต่ละแบรนด์มีเงื่อนไขต้องเปิดในห้างสรรพสินค้าในทุกทำเลตามที่ห้างสรรพสินค้านั้นๆมีสาขาก็ไม่ได้ขายดีทุกแห่ง จึงทำให้ต้องนำรายได้จากทำเลที่มีกำไรมาอุ้มทำเลที่ขายไม่ได้
ที่สำคัญคือต้องใช้เงินสดซื้อของมาผลิตอาหารทุกวัน แต่กว่าจะได้รับเงินจากห้างสรรพสินค้าต้องรอทุก 60 วัน จึงทำให้ตึงตัวไปกันหมด มีหลายรายที่ยอมถอยออกมา ส่วนรายที่อยู่รอดจะเป็นรูปแบบของเถ้าแก่คนเดียวทำทุกอย่างเองหมด ส่วนผู้ที่ทำในรูปบริษัทก็เริ่มที่จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร หากต้องนำธุรกิจทุกชนิดมาบ่นให้ฟังคงเขียนเล่าต่อไปได้อีกหลายสิบปี ดังนั้น คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนอีกครั้งว่าผมไม่เคยมีอคติกับใครในงานเขียนของผม และผมเชื่อว่ารัฐประหารเป็นภัยร้ายแรงลำดับต้นๆทีเดียว ดังนั้น เดินไปไหนมาไหนตอนนี้จึงได้ยินแต่คำถามว่า “เมื่อไรจะเลือกตั้ง” ดังไปทั่ว ก็ได้แต่หวังว่าพี่ๆของผมจะได้ยินเสียงของประชาชนบ้าง เพราะเสียงเหล่านี้คือเสียงที่ไม่ “สอพลอ” อย่างแน่นอน
You must be logged in to post a comment Login