- ปีดับคนดังPosted 18 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
วันพิพากษา / โดย ทีมข่าวการเมือง
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
“วันนี้ดิฉันก็อยู่ที่นี่ ยืนยันที่จะพิสูจน์ความจริง และหวังว่าสิ่งที่ดิฉันพิสูจน์ความจริงนี้จะทำให้ทุกอย่างรอดพ้นจากคดี เพราะเราก็เชื่อในความบริสุทธิ์ของเราในการที่จะต่อสู้”
อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สของสิงคโปร์ตอนหนึ่งว่า “ไม่เคยคิดหลบหนีการพิจารณาคดี เพราะถ้าต้องการหนีก็คงทำไปตั้งแต่แรกก่อนจะขึ้นศาลแล้ว ที่ผ่านมาได้พยายามอยู่เงียบๆมานานเกือบ 2 ปี ปล่อยให้รัฐบาลบริหารประเทศ แต่บางครั้งจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะเกรงว่าประชาชนจะเข้าใจประเด็นที่คลาดเคลื่อน”
คำพูดของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า จากการต่อสู้กว่า 2 ปี 4 เดือนนั้น เธอยืนหยัดต่อสู้คดีอย่างเข้มแข็งภายใต้รัฐบาลทหาร ซึ่งถูกตั้งคำถามมากมายว่าเป็นไปตามหลักนิติรัฐ–นิติธรรมหรือไม่? เพราะภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์จากการรัฐประหารนั้น เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกันว่ามีความพยายามอย่างมากที่จะใช้กลไกทั้งทางรัฐสภาและองค์กรอิสระกดดันอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ทั้งทางตรง ทางอ้อม และรวดเร็วเหนือมาตรฐาน
โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ออกคำสั่งที่ 56/2559 ใช้อำนาจทางปกครองเรียกค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพวก และให้อำนาจกรมบังคับคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์กว่า 35,000 ล้านบาท โดยระบุว่าเป็นความเสียหายทางแพ่ง ซึ่งไม่ใช่คดีรับจำนำข้าวที่ศาลฎีกาฯจะพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 เนื่องจากมีการยึดทรัพย์เป็นจำนวนมาก ต้องให้อำนาจกรมบังคับคดีเข้าไปจัดการ และยืนยันว่าอำนาจตามมาตรา 44 ไม่มีผลต่อคำตัดสินของศาลปกครองแต่อย่างใด แต่ก็หลุดคำพูดที่กระบวนการยุติธรรมไทยต้องจารึกว่า “อภินิหารทางกฎหมาย” เอาไว้เป็นกรณีศึกษา
การเมืองเรื่อง “ข้าวเน่า”
ประเด็นฉาวที่รัฐบาลทหารเพิกเฉยและพยายามจะไม่ให้เป็นข่าวคือ กรณีการประมูลข้าวเสื่อมสภาพในโกดังในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้าวคงเหลือของรัฐ โดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล เป็นประธานตรวจสอบคุณภาพข้าว และใช้มาตรฐานใหม่มากำหนด ทั้งการฉ่ำ (การฉ่ำคือ การเก็บตัวอย่างข้าวเปลือกที่บรรจุในกระสอบ เครื่องมือที่ใช้คือ ฉ่ำแทงข้าว และกระด้งฝัด ซึ่งจะต้องใช้ฉ่ำแทงข้าวทุกๆกระสอบเพื่อเก็บตัวอย่างข้าวใส่กระด้งฝัดข้าว โดยการใช้ฉ่ำแทงข้าวทั้งปากกระสอบ กลางกระสอบ และก้นกระสอบสลับกันไป) ข้าวแต่ละกองไม่ถึง 200 กระสอบ จากกองหนึ่งมี 20,000 กระสอบ และยังทำไม่ทั่วทั้งกองข้าวอีกด้วย นำมาสู่ประเด็นการประมูลขายข้าวเสื่อมคุณภาพในราคากิโลกรัมละ 5 บาท ทั้งที่เจ้าของโกดังหลายแห่ง รวมถึงนายพศดิษ ดีเย็น อดีตหัวหน้าคลังสินค้า องค์การคลังสินค้า (อคส.) ออกมายืนยันว่าเป็นข้าวดีที่คนบริโภคได้ และสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่ากิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งจะทำให้ประเทศได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญนายพศดิษยังตั้งข้อสังเกตว่า หลังการรัฐประหารรัฐบาล คสช. ได้มีคำสั่งโดยกระทรวงพาณิชย์ให้ยกเลิกการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่เคยติดตั้งอยู่ที่โกดังเก็บข้าวในโครงการรับจำนำข้าว สั่งเปลี่ยนคณะบุคคลที่ถือกุญแจ และตั้งแต่ปี 2557-2559 กระทรวงพาณิชย์ห้ามไม่ให้มีการเปิดโกดังข้าวเพื่อรมยาตามปรกติ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าวในโครงการรับจำนำข้าวได้รับความเสียหาย ซึ่งประเด็นข้าวเสื่อมคุณภาพนี้ไม่ใช่แค่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งการตัดสินของศาลฎีกาฯและการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเกิดคำถามตามมาว่ากำลังเกิดเหตุการณ์ทุจริตคอร์รัปชันที่เอาผิดหรือตรวจสอบไม่ได้เพราะได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรา 44 หรือไม่?
กปปส. จุดไฟรัฐประหาร
ประเด็นเรื่องข้าวเสื่อมคุณภาพหรือข้าวเน่าที่ถูกเพิกเฉยถูกมองว่าเป็นการเล่นการเมืองเพื่อกำจัดอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ เพราะคดีรับจำนำข้าวถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ใช้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์และนำมาซึ่งการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หลังจากชุมนุมใหญ่ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง จนอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ต้องประกาศยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่นายสุเทพและผู้ชุมนุมก็ปฏิเสธและขัดขวางการเลือกตั้ง และเรียกร้องให้จัดตั้ง “สภาประชาชน” โดยใช้วาทกรรมว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ซึ่งผ่านมาแล้ว 3 ปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะปฏิรูปอะไรได้สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
ระหว่างการชุมนุมของ กปปส. นอกจากการปิดล้อมกระทรวงและหน่วยงานราชการต่างๆแล้ว นายสุเทพยังประกาศขัดขวางการจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวให้กับชาวนาอีกด้วย โดยประกาศว่าถ้า กปปส. ยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จเมื่อไรจึงจะจ่ายเงินรับจำนำข้าวให้กับชาวนา แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์พยายามทุกวิธีที่จะนำเงินมาจ่ายให้กับชาวนา แต่นายสุเทพและกลุ่ม กปปส. ก็ใช้วิธีกดดันทั้งการปิดล้อมและข่มขู่ต่างๆไม่ให้ทั้งธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อนุมัติเงินมาจ่ายชาวนาตามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการแม้จะเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องก็ตาม รวมถึงบุกกระทรวงพาณิชย์ตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อล้มการประมูลจำนำข้าวที่จะเอาเงินมาจ่ายให้กับชาวนา
ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา และมีคำวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 9 คน พ้นจากตำแหน่งและสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ทั้ง 10 คน จนทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ไม่มีหัวหน้ารัฐบาลในขณะนั้น
วันที่ 9 พฤษภาคม 2557 นายสุเทพและแกนนำ กปปส. ประกาศ “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย (หลายครั้งสุดท้าย)” ว่า หากไม่ได้รับชัยชนะจะไม่เลิกชุมนุมเด็ดขาด ทำให้กองทัพประกาศกฎอัยการศึกเพื่อควบคุมสถานการณ์ และถัดมาคือวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช. ได้ยึดอำนาจ ซึ่งวิกฤตการณ์การเมืองช่วงปี 2556-2557 เห็นได้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วต้องการโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และล้างบาง “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นซาก
มหากาพย์คดีรับจำนำข้าว
ทุกวันนี้ก็ยังมีคำถามว่า รัฐประหาร 22 พฤษภาคมนั้น มีการวางแผนมาก่อนหรือไม่ โดยเฉพาะการดำเนินคดีมากมายกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์และสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึงแกนนำเสื้อแดงที่สนับสนุน “ระบอบทักษิณ” แทบจะฝ่ายเดียว คดีรับจำนำข้าวนอกจากจะเป็นเงื่อนไขสำคัญล้างบาง “ตระกูลชินวัตร” ด้วยการยึดทรัพย์แล้ว ยังถูกมองว่าเป็นการสถาปนากลุ่มอำนาจใหม่ภายใต้กลุ่มชาตินิยมผูกขาดที่ใกล้ชิดกับกองทัพอีกด้วย คดีรับจำนำข้าวจึงวิ่งแซงทุกคดีไปอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ โดยเฉพาะคดีของพรรคประชาธิปัตย์หรือกลุ่ม กปปส. ซึ่งวันนี้แทบไม่มีความคืบหน้า หรือบางคดีหลักฐานก็หายสาบสูญไปอย่างพิสดาร
เว็บไซต์ waymagazine.org ได้สรุปไทม์ไลน์คดีรับจำนำข้าวนับตั้งแต่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาจนถึงวันที่ศาลฎีกาฯจะพิพากษาคดีรวมเป็นเวลาถึง 6 ปีกับ 2 วัน หรือ 2,194 วัน ถือเป็น “มหากาพย์จำนำข้าว” ที่หลายฝ่ายจับตามองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญทางการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าศาลฎีกาฯจะมีคำตัดสินว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ผิดหรือไม่ผิดก็ตาม
เริ่มจากนโยบายที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์แถลงต่อรัฐสภามีวรรคตอนสำคัญคือ “ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้านโยบายจำนำข้าวในราคาสูงถึง 15,000-20,000 บาทต่อตันตามที่ได้หาเสียงเอาไว้” ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่สร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลต่อสังคมไทย สิ่งที่ตามมาคือ ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่ก็มีเสียงคัดค้านท้วงติงทั้งจากนักวิชาการและนักการเมืองที่ตั้งคำถามทั้งเรื่องความโปร่งใสและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการบิดเบือนกลไกตลาด ก่อนถึง “วันพิพากษา” 25 สิงหาคม เราลองมาดูกันว่าเมื่อ 5 ปีก่อนจนถึงวันนี้ มีใครเกี่ยวข้องและเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับการกล่าวหาคดีนโยบายรับจำนำข้าว ที่สุดท้ายไม่ได้ถูกกล่าวหาว่า “โกง” แต่ถูกกล่าวหาว่า “ละเว้น ปล่อยให้มีการโกง” ทั้งช่วงก่อนและหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนมาถึง “วันพิพากษา” ดังนี้
23 สิงหาคม 2554
หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยระบุว่า รัฐบาลจะดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคา 15,000-20,000 บาท/ตัน
7 ตุลาคม 2554
รัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มนโยบายรับจำนำข้าวฤดูกาลแรกปี 2554/2555 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนตามนโยบายรับจำนำข้าวกว่า 3,260,685 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 59.78 ล้านไร่
15 ตุลาคม 2555
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ยื่นเรื่องต่อนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ให้ไต่สวนนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล ข้อหาเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบายและทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 84 ว่าด้วยรัฐต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม
6 พฤศจิกายน 2555
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เสนอต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
3 ธันวาคม 2555
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำรายชื่อ ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 146 ราย ยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวนนโยบายรับจำนำข้าว โดยตั้งประเด็นความโปร่งใสของการระบายข้าวผ่านสัญญารัฐต่อรัฐกับประเทศจีน
5 มิถุนายน 2556
นพ.วรงค์ยื่น ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบการระบายข้าวค้างเก่าในโครงการรับจำนำข้าวปี 2554/2555 เป้าหมายในการยื่น ป.ป.ช. เน้นไปที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงคณะกรรมการนโยบายข้าวและนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว
9 กรกฎาคม 2556
นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษก ป.ป.ช. แถลงความคืบหน้าระบุไต่สวน 2 ประเด็นสำคัญคือ 1.การดำเนินโครงการ โดย ป.ป.ช. ขอเอกสารไปยังส่วนราชการต่างๆ 7 หน่วยงาน 2.การระบายข้าว ป.ป.ช. ได้ขอและได้รับเอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 6 หน่วยงาน
3 ธันวาคม 2556
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่ามีมูลทุจริตโครงการจีทูจี จึงมีมติขยายการไต่สวนไปอีก 5 กลุ่มบุคคล โดยในคำแถลงระบุว่า “การที่รัฐกำหนดการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554-มิถุนายน 2556 อีกทั้งปริมาณการส่งมอบข้าวไปยังจีนส่งไปเพียง 375,000 ตันเศษ จากปริมาณที่ต้องส่งมอบตามสัญญาจำนวน 4.8 ล้านตัน ซึ่งกรมศุลกากรยืนยันว่าในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีข้าวส่งออกโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด
16 มกราคม 2557
ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์แจ้งข้อกล่าวหานายบุญทรงพร้อมผู้เกี่ยวข้องรวม 15 ราย ในความผิดกรณีการขายข้าวแบบจีทูจี และให้ไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย โดยปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นตามอำนาจหน้าที่
20 มกราคม 2557
กลุ่ม กปปส. ชุมนุมขับไล่รัฐบาลเพื่อไทยระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2556 ถึงพฤษภาคม 2557 มีการปิดล้อมธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่เพื่อคัดค้านการนำเงินฝากของประชาชนมาช่วยเหลือโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการทุจริต
28 มกราคม 2557
ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ แทนการตั้งคณะอนุกรรมการ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตนายกรัฐมนตรีในเดือนถัดมา การดำเนินการไต่สวนกระทำควบคู่กันทั้งในกรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำร้องขอให้ดำเนินคดีอาญา มีคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง โดยนายวิชาและนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน
18 กุมภาพันธ์ 2557
ป.ป.ช. มีมติเรียก น.ส.ยิ่งลักษณ์มาพบในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากรณีละเลยการระงับความเสียหาย และปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยระบุความผิดว่า “ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นการจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 178 อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตําแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270”
20 กุมภาพันธ์ 2557
น.ส.ยิ่งลักษณ์เขียนเฟซบุ๊คระบุว่า ป.ป.ช. มีกระบวนการไต่สวนที่ไม่เป็นธรรม ใช้เวลาในการดำเนินคดีเพื่อแจ้งข้อหากับตนเพียง 21 วัน ทั้งที่ตนไม่ใช่ผู้ปฏิบัติแต่กลับถูกกล่าวหา จึงตั้งข้อสังเกตกระบวนการไต่สวน 3 ประเด็นได้แก่ 1.มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2.บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาใช้เวลาเพียง 21 วัน และ 3.การปฏิเสธการขอเลื่อนคดีของจำเลย
31 มีนาคม 2557
น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นวันครบกำหนดระยะเวลาชี้แจงหลังจากที่ ป.ป.ช. มีมติไม่อนุญาตให้ขยายเวลาตามที่ร้องขอ 45 วัน เป็นการชี้แจงด้วยลายลักษณ์อักษรและให้ปากคำด้วยวาจาประมาณ 25 นาที โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการสอบพยานเพิ่มเติมประมาณ 10 ปาก
30 เมษายน 2557
ทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์แย้งกรณี ป.ป.ช. ตัดพยาน 7 ปาก พร้อมกล่าวหา ป.ป.ช. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ หนึ่งในทีมทนายความ ระบุว่า “การที่ ป.ป.ช. ตัดพยานทั้ง 7 ปาก และไม่ลงพื้นที่ตรวจสต็อกข้าว โดยให้เหตุผลว่าเป็นพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ถูกกล่าวหานั้น เป็นการด่วนสรุปและละเลยไม่ตรวจสอบหลักฐาน ไม่ให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ ถือเป็นการใช้ดุลยพินิจไม่สุจริต ทีมทนายความกำลังรวบรวมหลักฐานพฤติกรรมไม่ชอบของ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการใช้ดุลยพินิจไม่ชอบในการตัดพยาน”
8 พฤษภาคม 2557
ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง ชี้มูลให้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และให้ดำเนินคดีอาญาด้วยมติเอกฉันท์ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ชี้มูลความผิดโดยจำแนกผู้ถูกกล่าวหาเป็น 3 กลุ่มคือ 1.นักการเมือง 3 คน ได้แก่ นายบุญทรง นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าว และ พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 2.เจ้าหน้าที่รัฐ 3 คน ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และ 3.เอกชน 15 ราย
19 กุมภาพันธ์ 2558
อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาฯข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
19 พฤษภาคม 2558
ศาลฎีกาฯพิจารณาคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวนัดแรก น.ส.ยิ่งลักษณ์ยื่นต่อศาลขอให้พิจารณาคดีลับหลัง แต่ศาลเห็นว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องมาศาลตามนัดทุกนัด หากไม่สามารถมาศาลในนัดใดจะต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุจำเป็นต่อศาลเป็นคราวๆไป
21 และ 28 กรกฎาคม 2558
ศาลฎีกาฯนัดตรวจพยานหลักฐาน ก่อนถึงวันนัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลฎีกาฯจึงกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานใหม่เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2558
15 มกราคม 2559
ไต่สวนพยานโจทก์นัดแรกครอบคลุมพยานโจทก์ 15 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 10 นัด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือมวลชนที่มาให้กำลังใจห้ามชูแผ่นป้ายขนาดใหญ่ ทำได้เพียงมอบดอกไม้และส่งเสียงให้กำลังใจ
24 มิถุนายน 2559
ศาลฎีกาฯไต่สวนพยานโจทก์นัดสุดท้าย อัยการสูงสุดนำนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว เบิกความต่อเพิ่มเติม ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางมาฟังการไต่สวนด้วยเช่นกัน
5 สิงหาคม 2559
เริ่มไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยนัดแรก ขณะที่จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติม 51 ครั้ง ใช้เวลาไต่สวน 16 นัด รวม 42 ปาก (5 สิงหาคม 2559-21 กรกฎาคม 2560)
21 กรกฎาคม 2560
ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนพยานฝั่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์นัดสุดท้าย ศาลไต่สวนพยานจำเลยจนจบ 3 ปาก ทนายจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 และคำร้องเพิ่มเติมลงวันที่ 11 และ 17 กรกฎาคม 2560 ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 212 โดยโต้แย้งว่าบทบัญญัติในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 3, 25, 235 วรรคหก ขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านฉบับลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 ก่อนที่ศาลจะยกคำร้องของจำเลย
1 สิงหาคม 2560
น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงปิดคดีด้วยวาจาระบุว่า ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม การตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการไต่สวนเนื่องจากมั่นใจในความบริสุทธิ์ ทว่าไม่เคยได้รับการไต่สวนภายใต้หลักนิติธรรมจาก ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด ทั้งโต้แย้งการเพิ่มพยานหลักฐานใหม่ และระบุว่าในอนาคตจะไม่มีผู้นำคนใดกล้าเสนอนโยบายช่วยเหลือประชาชน
วันพิพากษา
วันที่ 25 สิงหาคม 2560 นอกจากคนไทยทั้งประเทศจะติดตามข่าวว่าศาลฎีกาฯจะตัดสินอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ รวมถึงนายบุญทรงและพวกอย่างไรแล้ว ทั่วโลกก็จับตามองเช่นกัน ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักและนักวิชาการมองว่า หากศาลฎีกาฯตัดสินว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์มีความผิดและต้องถูกจำคุกก็จะยกชั้นการต่อสู้ ทำให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ต่างกับนางออง ซาน ซูจี ที่ถูกรัฐบาลพม่ากักบริเวณเป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้รับอิสรภาพและกลายเป็นผู้นำคนสำคัญของพม่าในปัจจุบัน
พอล แชมเบอร์ อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า ถ้าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ถูกตัดสินว่ามีความผิดจะกลายเป็นวีรสตรี และทำให้ประชาชนที่สนับสนุนยิ่งเกิดความศรัทธาเหมือนนางออง ซาน ซูจี ที่สำคัญยังทำให้มีคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะกับคนในตระกูลชินวัตร
ขณะที่บรรยากาศก่อนถึงวันที่ 25 สิงหาคม รัฐบาลทหารและกองทัพได้ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามข่มขู่เอาผิดรถที่นำประชาชนเดินทางมา หรือการพยายามดำเนินคดีกับนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพที่จะเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์
กรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งระงับใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์พีซทีวี ทำให้สมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีป้า) ออกแถลงการณ์ประณามว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพสื่อ
แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวว่ามีการใช้เจ้าหน้าที่รัฐและทหารไปกดดันประชาชนถึงในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ภาคเหนือซึ่งสนับสนุนอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจ
การยืนหยัดต่อสู้อย่างเข้มแข็งยิ่งทำให้คำพูดของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ว่า “ไม่หนี” และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม แม้คำพิพากษาอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะไม่ทำให้รัฐบาลทหารสั่นคลอน แต่ย่อมทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองแน่นอน แม้ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่า “คำพิพากษา” จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องบวกนัก
อย่างที่นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นกับสำนักข่าวดีพีเอในเยอรมนี (Deutsche Presse Agentur) ว่า “ทั้งฝ่ายรัฐบาลทหารและฝ่ายยิ่งลักษณ์ต่างถอยไม่ได้ทั้งคู่ ถ้าศาลยกฟ้องยิ่งลักษณ์ การรัฐประหารย่อมหมดความชอบธรรม”
ถ้า “วันพิพากษา” ยังคงเป็น 25 สิงหาคม 2560 ไม่มี “อภินิหารทางการเมือง” ใดๆมาเลื่อนออกไป หรือเกิดกรณีพิเศษภายใต้ “ระบอบพิสดาร” จนเกิดอภินิหารที่ล็อกถล่มทลายแล้วละก็..
..วันพิพากษา 25 สิงหาคม 2560 อาจไม่ใช่เป็นแค่ “วันพิพากษาจำเลย” เท่านั้น แต่ “คำพิพากษา” ย่อมจะมีผลผูกพันไปจนชั่วลูกหลานเหลนโหลนในภายหน้า และอาจถูกจารึกว่า..
25 สิงหาคม 2560 เป็น “วันพิพากษากระบวนการยุติธรรมไทย” ไปด้วยโดยปริยาย!!??
You must be logged in to post a comment Login