วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

‘ต่างเห็น ต่างหู’ น้ำในหูจึงไม่เท่ากัน / โดย ทีมข่าวการเมือง

On September 4, 2017

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้ทวีตข้อความแรกวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ผ่านทาง Thaksin Shinawatra @ThaksinLive ข้อความว่า…

Montesquieu once said “There is no crueler tyranny than that which is perpetuated under the shield of law and in the name of the justice.”

มงแต็สกีเยอเคยกล่าว “ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”

ถือเป็นการเปิดปากสื่อสารครั้งแรกโดยการทวีตข้อความหลังการไม่ปรากฏตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 โดยให้เหตุผลว่า “น้ำในหูไม่เท่ากัน” ทำให้ศาลฎีกาฯออกหมายจับ ริบเงินวางประกัน 30 ล้านบาท และนัดอ่านคำตัดสินใหม่ในวันที่ 27 กันยายน 2560

ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดคือ อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศได้อย่างไรและเมื่อไร ทั้งที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงติดตามอย่างใกล้ชิด 24 ชั่วโมงมาตลอด 3 ปี จนมีการวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศว่าอาจเป็นการ “เกี๊ยะเซียะ” ระหว่างรัฐบาลทหารกับ “ตระกูลชินวัตร” หรือไม่? เพราะการที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศ ทำให้รัฐบาลทหารหมดความกังวลถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ลดความวุ่นวายจากทุกฝ่าย ไม่ว่าศาลจะตัดสินออกมาว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ผิดหรือไม่ก็ตาม

คำตอบของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เช้าวันที่ 25 สิงหาคม ก็ดูเหมือนจะไม่แสดงความตกใจหรือแปลกใจ ทั้งยังคาดว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ใช้เส้นทางเกาะช้างเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับหลายสื่อที่ต่างอ้างแหล่งข่าวของตนโดยระบุว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เดินทางไปยังกัมพูชาและเดินทางไปสิงคโปร์ด้วยเครื่องบินส่วนตัว โดยอดีตนายกฯทักษิณรอรับและเดินทางต่อไปยังดูไบ

“บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่” ไม่มีคำตอบ

การเดินทางออกนอกประเทศของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น หลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่เอาหรือ “เกลียดกลัวชินวัตร” ไม่เชื่อว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะเดินทางออกได้อย่างง่ายดายโดยที่ฝ่าย “ผู้มีอำนาจ” ไม่รู้เห็นเป็นใจ อย่างที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามว่า “ใครพาคุณยิ่งลักษณ์หนี? ทำไมประเทศเพื่อนบ้านยอมให้คุณยิ่งลักษณ์เข้าประเทศและใช้สนามบินเพื่อหนีไปประเทศที่สาม ทั้งที่คุณยิ่งลักษณ์เป็นจำเลยคนสำคัญของไทย รัฐบาลต้องมีคำตอบชี้แจงให้สังคม ถามว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น รัฐบาลไทยจะปล่อยให้เขาไม่ให้เกียรติเราเช่นนี้อีกหรือ”

พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างไม่พอใจที่ถูกผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะไปทำบุญที่ไหนจะมีเจ้าหน้าที่ติดตามตลอด แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาตัดสินคดีทำไมถึงปล่อยให้หนีไปได้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะไปรู้ได้อย่างไรว่าออกไปตอนไหน ตรงไหน เมื่อไร ใครจะไปรู้ ทั้งยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้ติดตามประกบแล้ว ทุกอย่างก็ว่ากันไปตามระเบียบตามกฎหมาย ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอลี้ภัยที่ประเทศอังกฤษนั้น ยังไม่มีการขอประสานส่งผู้ร้ายข้ามแดนแต่อย่างใด ทุกอย่างขอให้ยึดไปตามกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวยืนยันว่า ฝ่ายความมั่นคงและ คสช. ไม่ได้ร่วมมือกันปล่อยให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หลบหนี แต่การจะติดตามคนคนหนึ่งต้องใช้ทั้งคน ทั้งพาหนะ อีกอย่างช่วงก่อนหน้านี้ทั้งสื่อ นักสิทธิมนุษยชน ก็ติงการทำงานของฝ่ายรัฐบาล จึงพยายามผ่อนปรนและให้เกียรติอดีตนายกฯมาโดยตลอด

“วันนี้อย่ายกความรับผิดชอบทั้งหมดให้ผม เพราะผมหนักอก เข้าใจหรือไม่ ถ้าท่านเป็นผมท่านจะรู้ว่าท่านทำไม่ได้หรอกจะช่วยใคร ผมก็ช่วยไม่ได้ เข้าใจหรือยัง อย่าเอาเรื่องนี้ไปพันกับเรื่องโน้น และวันนี้เห็นมีการนำคลิปอะไรของผมไปออกกันเต็มไปหมด มันคนละเวลา คนละเรื่อง ตอนนั้นผมเป็นลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชา ผมเคารพทุกคน น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกไปเส้นทางไหนมันปิดกันไม่มิดหรอก เดี๋ยวก็หาเจอกันได้ ใจเย็นๆ อย่าให้อย่างอื่นมันพังไปด้วย ผมขอร้อง อย่าให้สิ่งที่ผมพยายามทำมา 3 ปี มันล่มสลายไปด้วยคนคนเดียว ผมขอแค่นี้ได้ไหม เข้าใจหรือยัง ถ้าท่านเชื่อมั่นผมอยู่ ผมก็จะทำให้ ซึ่งผมไม่ยอมให้สิ่งที่ทำมาล่มสลาย แล้วสื่อจะยอมเหรอ”

พล.อ.ประยุทธ์ขอร้องว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุป ขอเวลาเจ้าหน้าที่ทำงาน เพราะเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ตอนนี้รอฟังรายงานอย่างเป็นทางการอยู่ ก็คล้ายกับทายาทกระทิงแดงที่เจ้าหน้าที่ต้องเร่งดำเนินการประสานกับต่างประเทศ 170 ประเทศ ทั้งนี้ อย่าลืมว่าวันนี้เป็นแค่เรื่องการหนีศาล ยังไม่ได้มีการตัดสินคดี เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าจะขอลี้ภัยได้

ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ก็ปฏิเสธว่า คสช. รู้เห็นเป็นใจให้อดีตนายกฯเดินทางออกนอกประเทศ แต่ยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของตัวเองและขอรับความผิด ส่วนการตรวจสอบของทั้ง 4 กองทัพภาคก็ยังไม่รู้ว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หลบหนีออกไปเส้นทางใด

“บางคนบอกว่า คสช. เกี๊ยะเซียะให้หลบหนี ผมถามว่าจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะทุกวันนี้ก็ถูกด่า ซึ่งนายกฯได้โทรศัพท์มาเร่งรัดผมทุกวัน เวลาเขาออกนอกประเทศไปแล้ว จะไปเปิดตัวเคลื่อนไหวต่างๆ อาจจะโจมตี พูดให้ร้าย คสช. ก็ได้”

เพื่อไทยแตกหรือยิ่งแข็งแกร่ง?

วันที่ 29 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะมีคำชี้แจงต่อสาธารณชนเมื่อถึงเวลาอันควรต่อไป พร้อมทั้งยืนยันอนาคตทางการเมืองของพรรคว่า ยังคงดำรงความเป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชนและต่อสู้ให้สังคมเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และการสร้างความสมานฉันท์ด้วยหลักเมตตาปรารถนาดีต่อกัน รวมทั้งภารกิจสำคัญคือ ทำให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ประเทศได้รับความยอมรับนับถือและเชื่อมั่นจากนานาอารยประเทศ

แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยเป็นการยืนยันว่าพรรคยังเข้มแข็ง ซึ่งก่อนหน้านี้สื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างวิเคราะห์ถึงอนาคตพรรคเพื่อไทยในหลายแง่หลายมุม หาก “ตระกูลชินวัตร” โดยเฉพาะอดีตนายกฯทักษิณยอมวางมือทางการเมืองจะเกิดอะไรขึ้น พรรคเพื่อไทยจะแตก หรือหัวหน้าพรรคคนใหม่จะมีบารมีพอที่จะนำพรรคเพื่อไทยให้เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ต่อไปได้หรือไม่

ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ที่จะเป็นคู่แข่งสำคัญเท่านั้น แต่ยังมีพรรคที่พร้อมจะเป็น “นอมินี” เพื่อสืบทอดอำนาจให้กับ คสช. แม้แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) ยังกลืนน้ำลายตัวเองที่ประกาศหลายครั้งช่วงนำม็อบเป่านกหวีดว่าจะเลิกเล่นการเมือง ล่าสุดได้ประกาศจะตั้งพรรคการเมืองและหากจำเป็นก็พร้อมจะทำเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ตัวเองจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง อาจเป็นการร่วมกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ก่อนหน้านี้ประกาศจะตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันนี้เป็นไปได้สูงมากหลังจากไม่มีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์และคนในตระกูลชินวัตรที่จะมาเป็นแกนนำในพรรคเพื่อไทย

วิกฤตการเมืองที่ยังไม่จบ

รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น “บีบีซีไทย” ในภาวะที่พรรคเพื่อไทย “ไร้หัว” ว่า ถือเป็นความท้าทายที่พรรคเพื่อไทยจะจัดพรรคให้ก้าวสู่ความเป็นสถาบันการเมืองที่มีความมั่นคงยืนยงของตัวองค์กรพรรคโดยไม่ยึดติดกับตัวบุคคล มีความหลากหลายในการแสดงบทบาท เช่น การคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ที่ไม่ได้เคาะจากผู้มีบารมีในพรรคคนใดคนหนึ่ง ความมีอิสระ และการมีฉันทามติในกระบวนการของพรรค

“ที่ผ่านมาคุณทักษิณไม่พยายามจัดการองค์กรพรรคให้เป็นสถาบัน พอวันนี้ไม่มีคุณทักษิณหรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คนในพรรคจึงตื่นตระหนก แต่ถ้าพรรคใช้จังหวะอันท้าทายนี้ปรับตัวทางการเมือง ทำตัวเองให้หลุดจากตระกูลชินวัตร ก็จะสามารถสร้างฐานให้เป็นสถาบันการเมืองได้ แต่แน่นอนว่าย่อมมีคำถามอื่นๆตามมา เช่น ทุนจะมาจากไหน อดีต ส.ส. จะถูกซื้อตัวไปหรือไม่” รศ.ดร.สิริพรรณกล่าว

ขณะที่ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงพรรคเพื่อไทยว่า การหลบหนีของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าผู้มีอำนาจต้องการกำจัดคนในตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำ แต่ตนกลับมองตรงข้าม เมื่ออดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่อยู่ พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีสภาพเหมือนไม่มีตัวประกันอีกต่อไป ทำให้เห็นการเมืองหลังยุคยิ่งลักษณ์ว่าจะเป็นอย่างไร

แม้รัฐบาลทหารจะดูสบายใจขึ้น แต่ต่อไปจะกลายเป็นกระแส “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่จะตอกย้ำรัฐประหารปี 2549 และปี 2557 และผลพวงคดีโครงการรับจำนำข้าวก็จะทำให้กระแส “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” อยู่นานขึ้น และจะเริ่มบทใหม่ของภาพยนตร์เรื่อง “วิกฤตการเมืองที่ยังไม่จบ”

ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ให้สัมภาษณ์ Thais Voice เกี่ยวกับความคาดหวังที่จะให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ยังคงต่อสู้บนเส้นทางประชาธิปไตยเช่นเดียวกับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำพม่า ว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์อาจค่อยๆลดบทบาททางการเมืองลงก็ได้ แต่หากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ภายนอกก็ยังทำได้ เพราะประชาชนยังให้ความเห็นใจ ความรัก ความเอ็นดูสูงมากๆ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญทางการเมือง โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารกับประชาชนที่ศรัทธาเพื่อยืนยันการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเหมือนครั้งที่เป็นนายกฯรักษาการ ไม่ยอมมอบอำนาจให้นายสุเทพที่เท่ากับทำลายประชาธิปไตย แต่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ประกาศจะคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด และช่วงหลังรัฐประหารก็ต่อสู้คดีจนถึงนัดสุดท้ายก็เหมือนฐานที่มั่นสุดท้าย โดยการยืนยันว่านโยบายรับจำนำข้าวสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ มีความจำเป็นและสามารถทำได้

นักกฎหมายสายปิศาจ

คดีโครงการรับจำนำข้าวและภาพของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จะยังหลอกหลอน พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล คสช. ไปอีกนาน แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพยายามตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมซึ่งตนไม่ได้เข้าไปแทรกแซง แต่นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตรองประธานศาลฎีกาและอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งชี้มูลคดีที่ดินรัชดาฯอดีตนายกฯทักษิณ ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์เครือเนชั่นยืนยันว่า คดีโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นคดีการเมือง และคิดว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์คงไม่โง่ที่จะเดินทางกลับมา

นายอุดมเชื่อว่าการขอลี้ภัยทางการเมืองของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่มีปัญหา ซึ่งสวนทางกับความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์และอัยการสูงสุด เพราะแต่ละประเทศมีหลักการการขอลี้ภัยทางการเมืองต่างกัน ทุกประเทศถือว่าคดีที่เกิดขึ้นระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นคดีทางการเมือง ยิ่งฝ่ายที่มีอำนาจจะดำเนินคดีกับฝ่ายที่หมดอำนาจ ในทางสากลถือเป็นศีลธรรมของโลก ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะอาจทำให้ฝ่ายที่หมดอำนาจเป็นอันตรายได้ แม้ในประเทศไทยจะมองว่าเป็นความผิดทางอาญา แต่ต่างประเทศมองว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะการเมืองคือการแย่งอำนาจของแต่ละฝ่าย จะ 2 ฝ่าย 3 ฝ่าย หรือ 4 ฝ่ายก็ตาม

“เคยมีนักกฎหมายบอกว่าพิสูจน์ได้ว่าทุจริต ก็เป็นเรื่องที่เราพิสูจน์ แต่สากลเขายอมรับหรือไม่ว่าโปร่งใสจริงโดยไม่มีการเมืองแทรก ต้องยอมรับว่าอำนาจการเมืองในช่วงใดช่วงหนึ่งอยู่ในมือของคนที่มาจากคนส่วนใหญ่ หรือบางทีก็คือคนที่มาด้วยวิธีพิเศษ วิธีหลังไม่มีใครยอม ยกตัวอย่างประธานาธิบดีมาร์กอส (ของฟิลิปปินส์) โกงมากกว่านักการเมืองเราบางคน ลี้ภัยไปสหรัฐเขาก็ไม่ส่งให้ฟิลิปปินส์ แม้จะมีรูปแบบความผิด แต่ถ้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง สากลมองว่าเป็นคดีการเมือง เขามักไม่ให้” นายอุดมกล่าว

โดยเฉพาะคดีของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นความผิดที่เกิดก่อนจะมีกฎหมายใหม่ตามรัฐธรรมนูญ แม้รัฐบาลใหม่จะไม่ให้นับอายุความ แต่ในทางกฎหมายสากลจะเอามาบังคับไม่ได้ ยิ่งจะเป็นผลร้ายทางอาญายิ่งย้อนหลังไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นฝ่ายที่มีอำนาจก็อาจไปออกกฎหมายต่างๆเพื่อเอาผิดกับอีกฝ่ายหนึ่ง

นายอุดมยังให้ความเห็นว่า การไม่ปรากฏตัวที่ศาลของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์วันที่ 25 สิงหาคม และวันที่ 27 กันยายนจะมาหรือไม่ก็ตาม ไม่มีผลอะไรกับทางคดี เพราะองค์คณะศาลมีคำพิพากษาไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม วันที่ 27 กันยายนแค่เอาคำตัดสินวันที่ 25 สิงหาคมมาอ่านเท่านั้น และไม่เกี่ยวกับหมายจับ ถ้าตัดสินยกฟ้องก็มีสิทธิจะกลับมาได้ และต้องยกเลิกหมายจับด้วย แต่ถ้าพิจารณาลงโทษก็ต้องยกเลิกหมายจับแล้วออกหมายจับใหม่ตามอายุความ จะเอาแบบไม่มีอายุความตาม “นักกฎหมายสายปิศาจ” ไม่ได้

“ยิ่งลักษณ์” ไม่ได้หายไปไหน?

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ ได้ให้ความเห็นโดยแพร่ภาพสดผ่านเฟซบุ๊คกรณีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ปรากฏตัวที่ศาลว่า ในทางการเมืองอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้หายไปไหน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไทยหรือประเทศไหนยังอยู่ในฐานะนายกฯที่ประชาชนจำนวนมากยังให้ความรัก เพราะสิ่งที่ทำไว้กับประชาชนไม่ได้หายไปไหน และประชาชนยังต้องการสิ่งที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ให้กับเขาอยู่ เห็นได้จากการเลือกตั้งประชาชนยังไปหย่อนบัตรสนับสนุน ซึ่งยิ่งลักษณ์และทักษิณไม่ได้เป็นนักมายากล ไม่ได้เป็นผู้วิเศษ ที่อยู่ดีๆจะทำให้ประชาชนเดินไปหย่อนบัตรสนับสนุนวันเลือกตั้งได้ แล้วก็ไม่มีปืน ไม่มีรถถังไปบังคับประชาชนออกมาเลือกหรือไม่ให้เลือกคู่ต่อสู้

ประชาชนจำนวนมากไม่ใช่ต้องการ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” แต่ต้องการสิ่งที่ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” เคยให้ อย่างการช่วยเหลือชาวนาให้มีโอกาสพัฒนาชีวิต ให้ลืมตาอ้าปาก ให้เขารู้สึกว่าเป็นคนเท่ากัน ความเห็นต่างไม่ใช่เรื่องอันตราย พูดคุยได้ในสังคม เพราะฉะนั้นวันนี้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์จึงอยู่ในฐานะสัญลักษณ์ ไม่ได้หายไปไหน

นายวีรพัฒน์ไม่แปลกใจที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ไปศาล เพราะหากคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา คนเป็นนายกรัฐมนตรีถูกทหารกักตัวไว้ตั้งแต่ทำรัฐประหารถือเป็นโจทย์ใหญ่ พี่ชายก็เผชิญชะตากรรมมาแล้ว ระบบและกระบวนการยุติธรรมก็มีข้อกังขาว่าส่วนใดส่วนหนึ่งจะอยู่ใต้อิทธิพลของทหารหรือไม่ การตัดสินใจของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์อาจไม่ได้คิดแค่ตัวเอง แต่ยังมีครอบครัวและคนรอบข้างที่อาจไม่ปลอดภัย จึงต่อสู้คดีจนถึงนัดสุดท้าย

แต่ที่นายวีรพัฒน์แปลกใจคือ ทำไมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์สามารถไม่ปรากฏตัวได้ก่อนจะมีคำพิพากษาไม่กี่วัน ขณะที่ผู้มีอำนาจก็ให้คำตอบที่แปลกๆ ในวินาทีที่สื่อถามว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่มาศาล รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลความมั่นคงกลับบอกว่า ต้องดูก่อนว่าอาจไปอยู่ที่โรงพยาบาลไหน แม้แต่ท่าทีของนายกรัฐมนตรีก็ดูไม่ตกใจหรือแปลกใจอะไรนัก ดูเหมือนว่าเตรียมพร้อมรับสถานการณ์นี้ไว้แล้วด้วยซ้ำ จนเกิดคำถามว่าฝ่ายความมั่นคงไม่รู้เลยหรือ และการที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ปรากฏตัวนั้นเป็นประโยชน์กับใคร

นายวีรพัฒน์ยังยืนยันว่า การพยายามเอาผิดอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ทางอาญานั้นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน ต้องตีความโดยเคร่งครัด ถามว่าเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหรือเปล่า ทำโดยมีเจตนา มีแผนการหรือเปล่า ถ้าบอกว่าทำงานไม่ถูกใจ ไม่รอบคอบพอ ไม่มีประสิทธิภาพพอ อย่างนี้ไม่ใช่ความผิดทางอาญา แต่ถ้าบอกว่าเป็นความผิดทางการเมืองก็ไปว่ากันทางการเมือง จึงต้องดูว่าคำพิพากษาจะตีความมาตรา 157 อย่างไร และพิจารณาหลักฐานละเอียดรอบคอบเพียงใด

อนาคตประเทศไทย

นายวีรพัฒน์ยังตั้งคำถามว่า ในอนาคตประเทศไทยจะไปอย่างไรต่อ โดยถามประชาชนที่รักประชาธิปไตย แต่ไม่จำเป็นต้องรักชอบอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า เราอยากให้ชาวนาที่มีความลำบากยากเข็ญทั่วแผ่นดินมีโอกาสลืมตาอ้าปาก สามารถส่งลูกเรียนหนังสือเพื่อจะได้ทัดเทียมกับคนรวยที่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกได้ จะได้พัฒนาไปพร้อมๆกัน เราอยากได้ประเทศที่เปิดกว้าง สังคมที่หลากหลายพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องเอาปืนมาขู่ ไม่ต้องมาลากไปเข้าคุกหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะมีการเลือกตั้งในอนาคต ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มอื่นที่จะเสนอตัวเป็นทางเลือก ก็ต้องคิดแล้วว่าทำไม “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” จึงชนะการเลือกตั้งตลอดช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะมีเวทมนตร์ หรือเป็นนักมายากล หรือมีปืน มีรถถังมาบังคับประชาชน แต่เพราะรู้ว่าประชาชนต้องการอะไรและสามารถตอบสนองประชาชนได้ แต่วันนี้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์กลับถูกดำเนินคดีในลักษณะนี้ ก็ต้องถามว่าแล้วจะมีนักการเมืองคนไหนกล้าตอบสนองความต้องการของประชาชน หรือทำให้ดีกว่า “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ขณะที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองก็ต้องเปิดพื้นที่เพื่อให้ตัวแทนใหม่ ทางเลือกใหม่ๆ ให้พรรคการเมือง ให้นักกิจกรรมได้ขยับ เพื่อให้สังคมขยับไปข้างหน้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสภาพบ้านเมืองที่เป็นอยู่วันนี้ประชาชนต้องการจริงหรือเปล่า

“ต่างเห็น ต่างหู” น้ำในหูจึงไม่เท่ากัน

ทันทีที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาล โดยอ้างว่าป่วย “น้ำในหูไม่เท่ากัน” และมีข่าวสะพัดว่าเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ทำให้กลุ่ม “เกลียดกลัวทักษิณ” ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มนกหวีด และสลิ่มหลากสี ทยอยออกมาแสดงความสะใจอย่างออกนอกหน้าผ่านทางสารพัดสื่ออีกครั้งหลังเก็บตัวมานาน

มีทั้งการเขียนข้อความและตัดต่อภาพล้อเลียนต่างๆนานา แต่ที่เป็นข่าวฮือฮามากคือ การใช้โคลงกลอนจาบจ้วงในลักษณะหยาบโลนถึงอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ แม้แต่ “ไพฑูรย์ ธัญญา” ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์เมื่อปี 2559 ยังเขียนถึง “คดีหู” ซ้ำด้วย “จรูญ หยูทอง” เอ็นจีโอภาคใต้เจ้าของนามปากกา “รูญ ระโนด” เขียน “หูหนี” และตามด้วย “พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ” ที่เป็นโจทก์ฟ้องหมิ่นประมาทนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ พ่อน้องเฌอ เหยื่อสลายการชุมนุมปี 2553 เขียน “เหอของที” ซึ่งเป็นบทกลอนคำผวนของลับเพศหญิง

และที่ไม่เคยตกขบวนคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยกประเด็น “น้ำในหู” ไปพูดในการปาฐกถาอบรมครูให้กลายเป็นเรื่องฮาทั้งห้องประชุม จนมีหลายคนออกมาถามถึงความเหมาะสม

การเดินทางออกนอกประเทศของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ทำให้เห็นความพิสดารและเหลือเชื่อมากมายที่เกิดขึ้นตามมาอย่างวิจิตรพิสดาร ไม่ใช่จะเป็นแค่เรื่องการเมืองหรือ “ระบอบพิสดาร” หรือ “อภินิหารทางกฎหมาย” เท่านั้น แม้แต่ชนชั้นนำในสังคมที่อ้างตนว่าเป็น “คนดี” เหนือใคร ก็ยังแสดงออกให้เห็นถึงอาการที่เก็บกดเกลียดแค้นที่จ้องจะห้ำหั่นจองล้างจองผลาญกันอย่างไม่สนใจว่าอะไรคือความถูกต้องชอบธรรม

เมื่อต่างคนต่างคิด ต่างปากต่างพูด ต่างตาต่างเห็น ต่างฟังต่างหู.. ทำให้เกิดความ “ไม่เท่ากัน” ทำให้เกิด “ความเอียง” ทำให้ความยุติธรรม “ไม่สมดุล” ปรากฏไปทุกหย่อมหญ้า ทั้งแผ่นดิน

คำว่า “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จึงกลายเป็นปริศนาธรรมไปอย่างไม่ตั้งใจ เพราะบัดนี้ยังไม่มีใครกล้าอธิบายชัดๆว่า คำว่า “น้ำในหูไม่เท่ากัน” นั้นหมายถึงใคร? ทำไมคำถามว่า “ปูหายไปไหน? “ทำไมปูไม่ไปศาล?” จึงกระท่อนกระแท่นทั้งคนถาม คนตอบ?

ปรากฏการณ์ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จึงสั่นสะท้านสะเทือนกระบวนการยุติธรรมไทยตั้งแต่ต้นทางถึงปลายน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!!??

 


You must be logged in to post a comment Login