- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 4 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เมื่อผมหยุดกรุงเทพฯ / โดย สนานจิตต์ บางสพาน
คอลัมน์ : สากกะเบือยันเรือรบ
ผู้เขียน : สนานจิตต์ บางสพาน
ต้นฉบับมาๆหายๆไป 2-3 ครั้ง ไม่มีเหตุระทึกใจหรอกนะครับ แฟนๆสากกะเบือและพวกไม่เอาเรือรบ (ดำน้ำ) ไม่ต้องวิตก สนจ. ไปเจออุบัติเหตุมาครับ ล้มท่าเดียวกับพระพยอมเลย หลวงพ่อเย็บ 11 เข็ม สนจ. เย็บ 5 เข็ม โชคดีกระดูกสันหลังไม่หัก ไม่ร้าว ไม่บิดเบี้ยวคดงอ ไม่งั้นเรียบร้อย อัมพาต อัมพฤกษ์กินแหงๆ
ที่โดนเต็มๆก็คือแผ่นหลังและกล้ามเนื้อฟกช้ำดำเขียวกันไป เจ็บ ร้าวระบมจนน้ำตาเล็ด สำหรับพวกที่อายุเลย 60 กล้ามเนื้อมันฟื้นตัวช้า กระดูกกระเดี้ยวมันกรอบหมด
ที่ระทึกใจก็คือ สนจ. ไปล้มที่ต่างบ้านต่างเมืองพันกว่ากิโลฯจากเมืองไทย เพราะติดตามกองถ่ายหนังไทยของผู้กำกับฯรุ่นน้องที่เปิดกล้องและปิดกล้องหนังไตรภาคหรือ 3 เรื่องจบอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า “ไตรโอโลจี้”
หนังที่ว่าคือ “สะบายดี หลวงพะบาง” ซึ่งทำมา 2 ภาคแล้ว ภาคแรก บักจ่อย-อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เป็นพระเอก ภาค 2 เรย์ แมคโดนัลด์ เป็นพระเอก และภาคจบหรือคิดถึงจังเลย ชาคริต แย้มนาม เป็นพระเอก ส่วนนางเอกเป็นนางแบบลาว เพราะนางเอกคนแรกกลายเป็นหมอระดับปริญญาโทไปเรียบร้อยแล้ว
สนจ. ได้ไปนอนดูเพดานห้องฉุกเฉินและห้องถ่ายเอกซเรย์โรงพยาบาลที่มีเพียงแห่งเดียวในเมืองมรดกโลก “หลวงพระบาง” เมืองในหุบเขาและแวดล้อมด้วยภูเขาสูงของลาว สวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่ชอบความเงียบสงบ
แต่ตอนนี้เริ่มไม่สงบเพราะนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่ต่างไปจากที่ไหนๆในโลก รวมทั้งในเมืองไทย ก็แบบเจ๊กๆนั่นแหละ คือโฉ่งฉ่างกะละมังแตก ในวัดพวกเขายังแหกปากร้องเพลงจีน เต้นระบำ เซลฟี่กันให้อึกทึกครึกครื้น แต่อย่างว่าเงินทองที่ไหลมาจากนักท่องเที่ยวทำให้คนหลวงพระบางต้องวางเฉยกันไป มีแต่นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆนั่นแหละที่ต้องหลีกหรือเดินหนี
ตอนหมอที่ลาวมาถามว่า สนจ. จะเข้าพักนอนรอดูอาการที่โรงพยาบาลไหม สารภาพว่าเห็นบรรยากาศแล้วความคิดมันกระเจิดกระเจิงประมาณว่า ไอ้ห่าน…กูต้องมานอนโรงพยาบาลคนเดียวต่างบ้านต่างเมือง บรรยากาศขมุกขมัว ฟืนไฟไม่สว่างไสวเหมือนบ้านเรา กลับไปนอนทนปวดร้าวเจ็บระบมหลังที่โรงแรมรอขึ้นเครื่องกลับไปเข้าโรงพยาบาลที่เมืองไทยอีกรอบดีกว่า
ว่าแล้วก็กลับมานอนทนปวดน้ำตาเล็ดลุ้นระทึกว่าอัมพาตจะกินไหมตลอดคืนที่โรงแรมที่พักของกองถ่ายหนัง แล้วก็จับเที่ยวบินเที่ยวแรกเผ่นกลับมาเช็กอินที่วชิรพยาบาล โชคดีที่ได้หมอศัลยประสาทที่เก่งและจบเฉพาะทางมาจากเยอรมนีเป็นเจ้าของไข้ สรุปก็คือฟาดพื้นไม่ได้ฟาดเคราะห์
พระเจ้าและยมบาลเขายังไม่อยากให้ไปวุ่นวาย ไม่ว่าจะบนสวรรค์หรือลงไปในนรก นั่นคือเหตุผลที่ได้ “หยุด” ทุกอย่างมาตลอดเกือบเดือน
ดีเหมือนกัน เพราะน่าเบื่อสำหรับการเมืองและ “ละคร” ที่เล่นกันแบบไม่เนียน บทห่วย คนเล่นก็ห่วย
การลากจูง “เมืองไทยและคนไทย” ให้ย้อนกลับสู่ “อดีต” ในทุกๆด้าน จะได้รับการพิสูจน์ว่าจะอยู่ได้ไหม ส่วนเรื่องเป็นไปได้นี่ มันเป็นไปแล้วตั้งแต่ คสช. เข้ามา และกระบวนการบีบรัดฉุดกระชากลากถูทุกระบบในเมืองไทยให้ย้อนกลับไปอยู่ในมือนายทุนขุนศึกศักดินาแบบที่เคยเป็นมาในอดีตเริ่มชัดเจนและขมวดปมเขม็งเกลียวขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องแบบนี้ก็ต้องมาลุ้นกันนั่นแหละว่ารู้เท่าทันกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเหลือง แดง
ประเด็นสำคัญคือ ระหว่างคน “กด” กับคน “ถูกกด” ใครจะอึดทนกว่ากัน
แต่ สนจ. สังหรณ์ว่าคงต้องมีรายการ “เลือดนองแผ่นดิน” กันอีกสักรอบ…ฮา
You must be logged in to post a comment Login