- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ไม่ต้องปรองดอง / โดย สมศักดิ์ ไม้พรต
คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง
ผู้เขียน : สมศักดิ์ ไม้พรต
หลังจากเงียบไปพักใหญ่เรื่องการสร้างความปรองดองถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องสัญญาประชาคม เนื่องจากเห็นว่าอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ทบทวนกันอีกครั้งกับร่างสัญญาประชาคมเพื่อความปรองดอง 10 ข้อ ที่ดูอย่างไรก็เหมือนนโยบายมากกว่าร่างสัญญา ประกอบด้วย
1.ร่วมกันสร้างสามัคคีปรองดอง ใช้สิทธิเสรีภาพตามกรอบของกฎหมาย ยอมรับความคิดต่าง เข้าใจประชาธิปไตย แก้ไขปัญหาด้วยระบบรัฐสภา
2.ยึดมั่นศาสตร์พระราชา ต้องพัฒนาตนเอง นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ประกอบอาชีพสุจริต และมีไมตรีจิตต่อกัน
3.ขจัดการทุจริต ดำเนินชีวิตด้วยหลักคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม มีความซื่อสัตย์ ร่วมกันต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ
4.อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมแบ่งปันใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม คำนึงถึงความสมดุลและยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
5.ดูแลคุณภาพชีวิตทางด้านสาธารณสุขและการศึกษาอย่างเท่าเทียม
6.เคารพกฎหมาย เชื่อมั่นและปฏิบัติตามกฎหมาย โดยกระบวนการยุติธรรมต้องทำงานอย่างอิสระ เป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ
7.รับรู้ข่าวสารอย่างรอบคอบ ไม่เสนอข้อมูลที่บิดเบือนยั่วยุ ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
8.ยึดมั่นกติกาสากล ปฏิบัติตามกฎกติกาสากลระหว่างประเทศ โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
9.ร่วมพัฒนาและปฏิรูปประเทศ รับรู้ ร่วมคิด ร่วมทำ ด้วยพลังประชารัฐ สู่การเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างเป็นระบบและครบวงจร
10.เดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ เรียนรู้ ร่วมมือ และสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติที่ร่วมกันกำหนดให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองในชุดคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ยอมรับว่าทั้ง 10 ข้อไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นกรอบแนวทางปฏิบัติภายใต้กฎหมายที่เคยมีอยู่ในจิตสำนึกของคนไทยที่อาจถูกปิดบังหรือเลือนรางไปบ้างจากบริบทความขัดแย้งทางสังคมที่ผ่านมา
หมายความว่าความขัดแย้งที่ผ่านมาทำให้คนไทยถอยห่างจากจิตสำนึกที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แล้วใครทำให้คนไทยถอยห่างจากจิตสำนึกที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จำเลยของเรื่องนี้คือนักการเมือง
จึงไม่แปลกที่มีบางคนพูดว่าหากนักการเมืองไม่ขยับบ้านเมืองจะสงบสุข จะเกิดความสามัคคีปรองดอง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองในสังคมไทยปัจจุบันจะเห็นว่ามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับไปยืนในจุดเดิม จุดที่ประชาชนไม่มีปากมีเสียง ไม่รู้จักสิทธิของตัวเอง ไม่เรียกร้องเพื่อปกป้องรักษาสิทธิของตัวเอง
เมื่อประชาชนรู้จักสิทธิของตัวเอง รู้จักเรียกร้องเพื่อปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ ภาพการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีอำนาจมากกว่าจึงไม่ปรากฏเหมือนในอดีต
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด เช่น เวลาประชาชนขับรถไปแล้วเจอด่านตำรวจเรียกตัว หากประชาชนคิดว่าตัวเองไม่ผิดก็จะมีการโต้แย้ง หรือหากเห็นว่าตั้งข้อหามั่ว เขียนข้อหาเกินกว่าเหตุก็จะโต้แย้ง บางครั้งมีการบันทึกการโต้แย้งไว้ทั้งที่เป็นภาพถ่ายและคลิปวิดีโอ
ภาพที่พอประชาชนถูกตำรวจเรียกแล้วยกมือไหว้ ยืนเอามือกุมไว้ข้างหน้าอย่างนอบน้อม ยอมรับใบสั่งจ่ายค่าปรับแต่โดยดี หรือให้เงินเพื่อแลกกับการไม่ถูกออกใบสั่งค่อยๆหายไปจากสังคมไทย
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเพื่อเป็นข้อโต้แย้งว่าที่สังคมไทยวุ่นวายไม่ใช่เพราะจิตสำนึกของคนไทยเปลี่ยนไปจากอดีต แต่เป็นเพราะเทคโนโลยีทำให้ประชาชนมีความรู้มากขึ้น รู้จักสิทธิของตัวเองมากขึ้น รู้จักปกป้องสิทธิของตัวเองมากขึ้น แต่การปกป้องสิทธิกลับถูกมองว่าเป็นการกระด้างกระเดื่อง ไม่รักความสงบเหมือนอดีต
เรื่องการสร้างความปรองดองพูดกันมาหลายครั้งแล้ว และในความเป็นจริงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหมดงบประมาณมากมายเพื่อหาวิธีสร้างความปรองดอง
สังคมไทยไม่ต้องปรองดองก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ และไม่ใช่ความสงบแบบใช้ปืนจี้ให้สงบแบบในปัจจุบัน
ความหมายของปรองดองคือ ออมชอม ประนีประนอม ยอมกัน ไม่แก่งแย่งกัน กลมกลืน สมัครสมานลงรอย ตกลงกันด้วยความไกล่เกลี่ย ตกลงกันด้วยไมตรีจิต
นี่คือความปรองดอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดความเท่าเทียม ทำให้เกิดการรักษาสิทธิอันพึงมีพึงได้
ความปรองดองอาจเกิดขึ้นเพราะต้องสยบสมยอมให้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ถึงจะยินยอมแต่ใจเป็นทุกข์เพราะรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ไม่ยุติธรรม กลายเป็นความเก็บกด
ถ้าสังคมไทยอยากอยู่กันอย่างสงบสุขไม่จำเป็นต้องสร้างความปรองดอง
สิ่งที่จะทำให้สังคมไทยอยู่ได้อย่างสงบสุขคือความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ความเท่าเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม เพราะในความหมายของกระบวนการยุติธรรมคือ วิธีดําเนินการให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและให้ความเป็นธรรมในทางกฎหมายแก่บุคคลโดยบุคลากรและองค์กรหรือสถาบันต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่บริหารงานยุติธรรม อันได้แก่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ทนายความ ศาล กระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์
หากอยากให้ประชาชนกลับคืนสู่ความสงบสุขไม่ต้องเสียเวลาหาวิธีสร้างความปรองดอง แต่สร้างความยุติธรรมให้เกิดความเท่าเทียมกันในหมู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ความสงบสุขจะกลับคืนมาเองโดยไม่ต้องรอใครมาคืนความสุขให้
เวลาดำเนินการทางกฎหมายกับใครหรือฝ่ายใดต้องไม่เกิดคำถามว่า ทำไมกรณีเดียวกันฝ่ายนั้นตัดสินอย่างนั้น ฝ่ายนี้ตัดสินอย่างนี้ ทำไมฝ่ายนั้นทำแล้วไม่ผิด ฝ่ายนี้ทำแล้วผิด หรือถ้ามีคำถามก็ต้องสามารถหักล้างได้ด้วยเหตุผลที่ทำให้คนตั้งคำถามยอมรับได้
ไม่ต้องปรองดอง ขอแค่ความยุติธรรม สังคมไทยจะกลับมาสงบสุขได้เองแน่นอน
You must be logged in to post a comment Login