วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

‘ปินส์’สูญหนักจากก่อการร้าย

On October 19, 2017

ในที่สุด กองทัพฟิลิปปินส์ก็สามารถเผด็จศึกกลุ่มติดอาวุธ “เมาเต” (Maute) นิยมกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ที่บุกยึดเมืองมาราวีในภาคใต้ของประเทศสำเร็จ หลังต่อสู้กันยืดเยื้อนาน 5 เดือน เริ่มตั้งแต่ 23 พ.ค.

ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต ประกาศความสำเร็จในการยึดคืนเมืองมาราวีอย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคาร (17 ต.ค.) แม้จะเหลือกลุ่มติดอาวุธประมาณ 20-30 คน พร้อมชาวบ้านที่ถูกกักเป็นตัวประกัน 20 คน แต่ติดอยู่ในวงล้อมทหารไม่มีช่องทางหลบหนีได้  

นายอิปซีลอน ฮาปิลอน หัวหน้ากลุ่มติดอาวุธอาบูเซย์ยาฟ (Abu Sayyaf) และนายโอมาร์ เมาเต หนึ่งในสองแกนนำกลุ่มเมาเต ซึ่งเป็นแกนนำในการก่อเหตุครั้งนี้ เสียชีวิตระหว่างยิงปะทะกับทหาร

นายฮาปิลอน นอกจากเป็นหัวหน้ากลุ่มอาบูเซย์ยาฟแล้ว ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนกลุ่มไอเอสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

การบุกยึดเมืองมาราวี หวังใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการก่อการร้ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้ รัฐบาลและกองทัพฟิลิปปินส์ยอมรับหลังเหตุการณ์ปะทุว่า กลุ่มติดอาวุธแข็งแกร่งเกินคาด เนื่องจากมีการลักลอบวางแผนไว้อย่างดีก่อนลงมือยึดเมือง

แม้ทหารและตำรวจจะมีอาวุธและเครื่องมือเหนือกว่า แต่เผชิญอุปสรรคสำคัญในการปราบปราม เนื่องจากกลุ่มติดอาวุธใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ป้องกันตัว ส่งผลให้เหตุการณ์ยืดเยื้อนานถึง 5 เดือน

หลังเสียงปืนสงบ (แม้จะยังไม่สงบอย่างสมบูรณ์) สิ่งที่หลงเหลือ คืออาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่กลายเป็นซากสงคราม

ส่วนผลกระทบต่อชีวิต สงครามกลางเมืองขนาดย่อมครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย เป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธประมาณ 800 ราย และประชาชนต้องอพยพหนีภัยกว่า 230,000 คน

ขณะผลกระทบด้านงบประมาณ เดลฟิน ลอเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์

ระบุว่า ใช้งบปฏิบัติการไปประมาณ 5,000 ล้านเปโซ (3,250 ล้านบาท)

ส่วนงบบูรณะฟื้นฟูเมืองขึ้นใหม่ รวมทั้งงบจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้ประชาชน คาดว่าต้องใช้ประมาณ 56,000 ล้านเปโซ (36,500 ล้านบาท) และคาดว่าแผนบูรณะฟื้นฟูจะดำเนินการได้ประมาณเดือนมกราคมปีหน้า

ผลกระทบตามที่ระบุ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประเมินเป็นตัวเลขได้ ยังมีผลกระทบทางจิตใจที่ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่เป็นความเลวร้ายจากเหตุการณ์รุนแรง ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความสูญเสียทางทรัพย์สินและเศรษฐกิจ

“บทเรียน” นี้เกิดขึ้นที่ฟิลิปปินส์ก็จริง แต่เป็นเหตุการณ์ที่เพื่อนบ้านอาเซียนหลายประเทศติดตามอย่างใกล้ชิด

จุดประสงค์เพื่อประมวลความรู้ไว้เป็นภูมิคุ้มกันตนเอง ไม่ให้เผชิญ “บทเรียนราคาแพง” ลักษณะนี้ในอนาคต


You must be logged in to post a comment Login