- ปีดับคนดังPosted 16 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
แค่พิธีกรรม
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
การแปลงร่างรัฐบาลจาก “บิ๊กตู่ 4” เป็น “บิ๊กตู่ 5” ดูเหมือนจะอยู่ในความสนใจเฉพาะกลุ่มคนที่เกี่ยวกับแวดวงอำนาจการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งนี้ เพราะประชาชนไม่ได้คาดหวังว่าการปรับเปลี่ยนจะทำให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น หรือได้ตัวบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งมากกว่าที่ผ่านมา ดังที่เคยเห็นมาแล้วจากการปรับครม.“บิ๊กตู่ 1” มาเป็น “บิ๊กตู่ 2” จนถึง “บิ๊กตู่ 3” และ “บิ๊กตู่ 4” การปรับครม.ครั้งใหม่จึงเป็นเพียงพิธีกรรมทางการเมืองในความรู้สึกของประชาชน
การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะต้องเกิดขึ้นหลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลาออกจากตำแหน่งดูเหมือนว่าจะอยู่ในความสนใจของทุกภาคส่วน ดังจะเห็นได้จากมีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นฝากแนวทางการปรับ ครม. ถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ค่อนข้างหลากหลาย
แต่ในความหลากหลายของความคิดเห็นได้บ่งชี้ให้เห็นอย่างหนึ่งชัดเจนว่า ไม่มีใครฝากความหวังไว้กับการปรับ ครม.ครั้งนี้ว่าปรับแล้วการทำงานของรัฐบาลจะดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เสียงส่วนมากจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปรับครม.โดยโละทีมเศรษฐกิจ หรือล้างไพ่ใหม่หมด ให้ปรับใหญ่โละคนเก่าออก ที่กระแสเทไปทิศทางนี้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือรัฐมนตรีหลายคนเข้าข่ายเป็นรัฐมนตรีที่โลกลืม เดินสวนกับประชาชนตามตลาดประชาชนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนคนนั้นเป็นรัฐมนตรี
เมื่อภาพรวมของ ครม.เป็นอย่างนี้ จึงมีเสียงเรียกร้องให้โละแบบปรับใหญ่
แน่นอนว่าเสียงเรียกร้องย่อมสวนทางกับความเป็นจริง ที่แม้อำนาจการปรับเปลี่ยนจะเป็นของนายกรัฐมนตรีตามนิตินัย แต่ในทางพฤตินัยแล้วการจะปรับใครเข้าใครออกต้องใช้ศาสตร์ในการดำเนินการมากกว่าการใช้อำนาจ
การจะปรับใครเข้าใครออก นอกจากพิจารณาตามความเหมาะสมระหว่างตำแหน่งกับความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใคร สายไหน ได้รับการสนับสนุนจากใคร มีความเกี่ยวพันกับคณะผู้มีอำนาจในตอนนี้อย่างไร
เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนมาแล้วจากการปรับ ครม.ทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา
ที่พูดกันว่าการปรับครม.เที่ยวนี้จะลดสัดส่วนของทหารลง เพิ่มสัดส่วนพลเรือนในครม.มากขึ้น จึงเป็นแค่การโยนหินถามทาง เป็นการเช็กกระแสของสังคมว่าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นนี้
แน่นอนว่าแม้จะมีเสียงตอบรับอย่างล้นหลามสนับสนุนให้ลดสัดส่วนทหารในครม.ลง แต่เสียงสะท้อนจากสังคมในประเด็นนี้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น และคงไม่ใช่ประเด็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลการปรับครม.ครั้งนี้สุดท้ายแล้วจะมีหน้าออกมาอย่างไร เชื่อว่าจะไม่สามารถเรียกความมั่นใจจากประชาชน หรือเรียกความหวังจากประชาชนได้ว่างานของรัฐบาลหลังแปลงร่างเป็น “บิ๊กตู่ 5” จะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ดังจะเห็นได้จากการปรับครม.หลายครั้งที่ผ่านมา จาก “บิ๊กตู่ 1” มาเป็น “บิ๊กตู่ 2” จนถึง “บิ๊กตู่ 3” และ “บิ๊กตู่ 4” ในปัจจุบันกระแสสังคมก็ไม่ได้ตอบรับการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ และมักจะมาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหมาะสมของตัวบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่
เมื่อประชาชนไม่ได้ฝากความหวังกับการปรับเปลี่ยน
แม้จะมีข้อเสนอแนะอยู่บ้าง แต่ก็เป็นข้อเสนอแนะจากกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองทั้งทางตรงทางอ้อม แต่สำหรับประชาชนทั่วไปไม่ได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
You must be logged in to post a comment Login