วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

คิดผิดยุบ‘อบต.’ / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On November 9, 2017

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

ลดขนาดราชการส่วนกลาง เลิกราชการส่วนภูมิภาค ส่งเสริมราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นการกระจายอำนาจสู่ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย คือการปฏิรูประบบราชการที่แท้จริง

กำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน 2557
ท้องที่ จำนวน %
ส่วนกลาง 1,267,609 61%
ส่วนภูมิภาค 360,928 17%
ส่วนท้องถิ่น 463,226 22%
รวม 2,091,763 100%

จากข้อมูลตามตารางจะเห็นว่า

1.ราชการส่วนภูมิภาคหรือแขนขาของราชการส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่างๆนั้นมีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมากถึง 360,928 คน ตามข้อมูลคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นข้อมูลเผยแพร่ล่าสุด โดยข้าราชการส่วนภูมิภาคมีสัดส่วนถึง 17% ของข้าราชการทั้งหมด

2.ราชการส่วนท้องถิ่นมีกำลังคนเพียง 22% เท่านั้น ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในจังหวัดภูมิภาคหรือในชนบท แต่กลับมีข้าราชการไป “รับใช้ประชาชน” น้อยมาก

3.ที่น่าสังเกตคือ ราชการส่วนกลางที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯมีข้าราชการรวมกันถึง 1,267,609 คน หรือราว 61% ของทั้งหมด แสดงถึงองคาพยพที่ใหญ่โตมากของระบบราชการที่อาจมีกำลังคนเกินความจำเป็น (นอกจากนั้นข้อมูลข้างต้นยังรวมเฉพาะในส่วนของกำลังคนในฝ่ายพลเรือนเท่านั้น ยังไม่รวมรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการทหาร)

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน (ปี 2558) หากรวมเอาภาระงบบุคลากร รวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆอย่างค่ารักษาพยาบาลและบำเหน็จบำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาลเมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้นๆในเอเชีย รองจากบาห์เรนและมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ประมาณ 7% สูง  กว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย 6% ฟิลิปปินส์ 5% หรือสิงคโปร์ 3% (http://bit.ly/1zgXzfh)

ในอดีตประเทศไทยมีแต่ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจดทะเบียนต่างๆต้องไปติดต่อที่อำเภอหรือจังหวัด แต่ปัจจุบันมีราชการส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าบทบาทของอำเภอหรือจังหวัดน้อยลงมาก ยกเว้นอำนาจจากส่วนกลางที่พยายามจะรักษาไว้เพื่อการควบคุมส่วนท้องถิ่น อันที่จริงควรมีการเลือกตั้งนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อการกระจายอำนาจจึงจะเป็นการปฏิรูประบบราชการที่แท้และให้อำนาจตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูแนวโน้มประเทศไทยคงเดินไปในแนวทางที่จะให้อำนาจข้าราชการประจำมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมท้องถิ่นให้มีอำนาจจริง

ในการส่งเสริมส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดำเนินการได้โดย

1.ให้อำนาจส่วนท้องถิ่นในการจัดการศึกษา การดูแลความปลอดภัย การปกครองโดยตรง โดยมีข้าราชการเป็นของตนเอง ไม่สังกัดส่วนกลาง ไทยก็จะมีองคาพยพของระบบราชการที่ไม่อุ้ยอ้าย ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการที่ “เทอะทะ” ตัดวงจรเส้นสายต่างๆไป

2.ให้ท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งหรือสรรหา “City Manager” (ผู้จัดการเมือง) “City Appraiser” (ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน) หรือผู้บริหารการศึกษา ผู้จัดการฝ่ายโยธา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา โดยมีข้าราชการประจำคอยปฏิบัติตามนโยบาย ไม่ใช่ให้ข้าราชการประจำที่ควรรับใช้ประชาชนกลับมา “ขี่คอ”

3.การแต่งตั้งหรือสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็มาจากท้องถิ่น โดยนายกเทศมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลางอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นเท่ากับไม่เป็นประชาธิปไตย

ดังนั้น งบประมาณต่างๆที่จะใช้จึงมาจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นำเงินส่วนนี้มาใช้เพื่อการบริหารเมืองหรือท้องถิ่นระดับต่างๆต่อไป ในการนี้

1.ต้องจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เพียงพอ ไม่ใช่เก็บแค่ 0.1-1% แต่พึงจัดเก็บที่ 1-2% ของมูลค่าในแต่ละปี

2.ลดภาระภาษีทางอื่น เช่น เลิกใช้ภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีและค่าธรรมเนียมโอน เป็นต้น

3.ลดการเก็บภาษีทางตรง หรืออย่างน้อยต้องไม่เพิ่มขึ้น เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเงินจะได้ไม่ไหลไปส่วนกลาง ทำให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆในระหว่างทางได้

แต่ขณะนี้กลับอนาถยิ่งนัก ราชการกำลังพยายามยุบรวม อบต. ต่างๆ ทำให้ผู้แทนหรือปากเสียงของประชาชนลดลงและกลับพึ่งอำนาจส่วนกลางให้ครอบงำมากขึ้น อย่างนี้จะพากันลงเหวหรือไม่ต้องช่วยกันไตร่ตรองให้ดี


You must be logged in to post a comment Login