วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ดราม่าแบบไทยๆ / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On November 16, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : ..อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

เรื่องราวที่ปรากฏผ่านการนำเสนอของสื่อมวลชนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลากเรื่องหลายรสจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศอย่างมุ่งมั่นของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส” ในความพร้อมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยคนต่อไปถ้าได้รับเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน

ท่านออกมายืนยันชัดเจนว่าจะจัดการกับผู้กระทำความผิดทุจริตต่อชาติบ้านเมืองทุกคนไม่ว่าจะมีมาตรา 44 คุ้มครองอยู่หรือไม่ก็ตาม ฟังอย่างนี้แล้วไม่ทราบว่าท่านผู้นำสูงสุดและบริวารจะร้อนๆหนาวๆกันบ้างหรือเปล่า เพราะในอดีตที่ผ่านมา “วีรบุรุษนาแก” คนนี้ในวงการสีกากีถือว่าเป็น “คนจริง” คนหนึ่ง จริงเท็จอย่างไรคงต้องไปถาม “ผู้ยิ่งใหญ่” ในกรมตำรวจบางคนที่ยังรับราชการอยู่ ณ วันนี้

อีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลย แต่มีความพยายามเชื่อมโยงเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดเข้าด้วยกัน นั่นคือการออกวิ่งเพื่อขอรับเงินบริจาคของ “ตูน บอดี้สแลม” ร็อกเกอร์นิสัยดี ขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศที่วางแผนออกวิ่งตั้งแต่จุดใต้สุดของประเทศไทยที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เพื่อเข้าเส้นชัยที่จุดเหนือสุดของประเทศที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

2,191 กิโลเมตรคือระยะทางทั้งหมดที่ “ตูน” จะวิ่งเพื่อนำเงินบริจาคกลับไปใช้ในโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ผมเคยฟัง “ตูน” เล่าให้ฟังจากปากของเขาเองว่า ตอนที่ตัดสินใจจะวิ่งในโครงการนี้ คนใกล้ชิดหลายคนเป็นห่วง และหลายคนเรียกสิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำว่า…“บ้า”

แต่ผมประทับใจและมั่นใจในสิ่งที่ “ตูน” ทำ และคิดว่าถ้าใครจะทำแบบ “ตูน” คงต้องมีความ “บ้า” ขับดันอยู่บ้างพอสมควร แต่อะไรที่เป็นพลังภายในแท้จริงที่ผลักดัน “ตูน” ให้ออกวิ่งครั้งสุดท้ายนี้ต่างหากที่น่าสนใจ

การวิ่งครั้งนี้จำนวนเงินบริจาคที่ “ตูน” และทีมงานตั้งเป้าไว้คือ 700,000,000 บาท (อ่านว่าเจ็ดร้อยล้านบาท) เหนือสิ่งอื่นใดคงไม่ใช่เป้าหมายของจำนวนเงินที่บริจาค ผมมั่นใจเพราะได้ยิน “ตูน” พูดออกมาอย่างนั้นจริงๆ

“ตูน” บอกเราว่าเขาเชื่อว่าถ้าคนไทย 70 ล้านคน บริจาคให้โครงการนี้เพียงคนละ 10 บาท เงิน 700 ล้านบาทก็ไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะ “ตูน” เชื่อว่า “ทุกคน” ในประเทศไทยสามารถมีส่วนร่วมช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยกันเองได้อย่างง่ายๆ ทำได้จริงและเห็นผลจริง ตรงนี้ต่างหากที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และเชื่อว่าเป็นพลังภายในอันแท้จริงที่ผลักดันให้ “ตูน” วิ่ง

สิ่งที่คนไทยทุกคนได้ยินได้เห็นการกระทำจากผู้ชายคนนี้ เขาไม่ใช่คนบ้าแน่ๆ แต่สิ่งที่เราได้ยินได้เห็นและทำให้เราเชื่ออย่างหมดใจคือ ผู้ชายธรรมดาคนนี้ยังมี “ความเชื่อ” และเปี่ยมไปด้วยความรักความศรัทธาต่อ “ความรักความสามัคคีของคนไทยในชาติ” และ “กำลัง” พิสูจน์ความเชื่อของเขาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

วันที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ “ตูน” วิ่งมาแล้วกว่า 500 กิโลเมตร ไกลกว่าการวิ่งครั้งแรกที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั้งประเทศ เพราะครั้งนั้น “ตูน” ต้องวิ่งเป็นระยะทางไกล 400 กิโลเมตร ภายในระยะเวลาจำกัดเพียงแค่ 10 วัน เพื่อเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ขาดแคลนให้กับโรงพยาบาลบางสะพาน และเขาก็ทำสำเร็จด้วยเงินบริจาคที่สูงถึง 85 ล้านบาท

วันนี้ยอดเงินบริจาคสูงกว่า 200 ล้านบาทแล้ว และ “ตูน” ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้ เป้าหมาย 700 ล้านบาทคงไม่ไกลเกินกว่าจะไปถึง ความเชื่อ ความรัก ความศรัทธาที่ “ตูน” ถ่ายทอดออกมาทั้งจากคำพูดและการกระทำ สร้างพลังใจและคุณค่าต่างๆมากมายให้กับคนทั้งประเทศ รวมทั้งผมด้วย

ผมเชื่อว่าการวิ่งครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานเยาวชนของเรา…ที่จะสัมผัสได้จากศิลปินคนโปรดของเขา และจะได้เห็นตัวอย่างที่ดีของคำว่า “เสียสละ” และคำว่า “รู้รักสามัคคี” ตามที่ “ตูน” เชื่อ

เรื่องนี้ช่างผิดกันลิบลับกับอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลย แต่มีคนจำนวนมากชอบนำมาเปรียบเทียบ นั่นคือการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ เพราะขณะที่ “ตูน” ออกวิ่งก็มีข่าวการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงสำหรับส่งกำลังจำนวน 2 ลำ และในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีการรับมอบรถเกราะล้อยาง 5 คันสุดท้าย ที่กำลังส่งตรงมาจากประเทศยูเครน

นี่ยังไม่นับรวมการจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกาที่ท่านผู้นำสูงสุดได้ไปเจรจาเอาไว้ในโอกาสที่ไปเยือนประเทศของเขาอย่างเป็นทางการอีกด้วย

จึงมีเสียงกระแหนะกระแหนมาจากฟากของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของรัฐบาลว่า ถ้าลดงบประมาณส่วนนี้ลงไปแค่ไม่ถึง 1% ก็จะมีเงินเหลือไปช่วยโรงพยาบาลต่างๆได้มากกว่า 11 โรงพยาบาล มากกว่าที่ “ตูน” กำลังเชิญชวนคนทั้งชาติทำความดีร่วมกันเสียอีก

ประเด็นน่าสนใจอีกเรื่องที่มี “ดราม่า” เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อคือ กรณีภาพป้ายผ้า ไทยแลนด์แดนกะลา ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมของการใช้ป้ายผ้าดังกล่าวในการเดินขบวนพาเหรดของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตร

เรื่องนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย บ้างก็ออกมาด่าว่าอย่างรุนแรง บ้างก็ออกมาสนับสนุนข้อความบนป้ายผ้า แต่เมื่อได้ฟังความคิดของน้องๆทีมงานที่จัดทำขบวนป้ายผ้าดังกล่าวก็ต้องเรียนว่าเรื่องนี้เป็น“ดราม่า” ของแท้

เพราะน้องๆทีมงานที่ทำเรื่องนี้ต้องการสื่อสารแต่เพียงว่า “แดนกะลา” ที่แสดงบนป้ายผ้านั้น หมายถึงระบบการศึกษาไทยที่อยู่ใน “กะลา” ไม่ยอมออกรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาเท่านั้นเอง

การวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลต้องยอมรับว่า ผู้ที่ทำตัวเป็นผู้พิพากษาของสังคมทั้งหลายไม่เข้าใจประเด็นภาพรวม แต่ไปวิจารณ์จากภาพที่สื่อมวลชนใช้นำเสนอเพียงภาพเดียว ซึ่งน้องๆก็ออกมายืนยันว่า ถ้าคนที่ออกมาด่าว่าตำหนิติเตียนพวกเขาอย่างรุนแรงได้มีโอกาสเห็นขบวนพาเหรดนี้ทั้งหมดก็จะทราบทันทีว่าเขาต้องการสื่อสารเรื่องอะไร!

เรื่องสุดท้ายผมอ่านพาดหัวข่าวที่ส่งต่อกันมาทางโซเชียล ซึ่งเป็นเรื่องการควบคุมแกนนำสวนยางเข้าไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร หลังเตรียมรวมพลเข้ากรุงเทพฯเพื่อเรียกร้องให้มีการปรับราคา ใครอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรก็เชิญกันตามอัธยาศัยนะครับ แต่ผมอ่านแล้วเหมือนคู่รักงอนอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ เขาเขียนไว้สั้นแค่นี้แหละ

เงิบ!! “สุเทพ” แนะ! นายกฯอุ้มราคายาง “ประยุทธ์” โต้! ถามมันซิเอาเงินที่ไหนมาอุ้มไล่!! ไปหาเงินมาให้ผม


You must be logged in to post a comment Login