- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 3 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
จุดขายตำคอ
ข่าวจับมือกันสกัดการสืบทอดอำนาจและเซ็ทซีโร่อำนาจ คสช.ออกมาวันเดียวทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ออกมาปฏิเสธพัลวัน ถ้าใครเป็นคอการเมืองคงไม่ตื่นเต้นกับข่าวนี้เพราะรู้ดีว่าโอกาสที่จะเห็นสองพรรคใหญ่จับมือกันตั้งรัฐบาลนั้นยากพอๆกับโอกาสที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เพราะแม้หลังเลือกตั้งทั้งสองพรรคจะมีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนกันแต่การร่วมมือไม้ร่วมมือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลจะไม่มีทางเห็นด้วยหรือทิศทางที่สอดคล้องกัน 100% ทั้งนี้เพราะทั้งสองพรรคหวังผลสัมฤทธิ์ในการทำงานหรือมีเป้าหมายของการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ข่าวการจับมือกันสะกัดอำนาจหรือเซ็ทซีโร่อำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังการเลือกตั้งของ 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ออกมาสร้างกระแสได้วันเดียว ทั้งสองพรรคต้องโดนหนีไปคนละทางสองทาง
จริงๆ ข่าวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการพูดถึงมาเป็นระยะในหลายวาระและหลายโอกาส
แต่ทุกครั้งจะจบลงด้วยการปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เป็นไปไม่ได้ ทั้งที่คนพูดมีตัวตน มีหลักฐานการพูดยืนยันได้ว่าไม่ใช่เรื่องไม่มีที่มาที่ไป
คนที่สนใจข่าวสารด้านการเมืองจะไม่แปลกใจกับกระแสข่าวและท่าทีแบบนี้ เพราะรู้แก่ใจดีว่าการจับมือกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่มีความเป็นไปได้ในความเป็นจริง
ทั้งนี้เพราะมีหลายเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ไม่อาจทำให้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์สามารถร่วมงานกันได้
ไม่ใช่แต่ในฐานะการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ร่วมงานกันไม่ได้
แม้หลังเลือกตั้งทั้งสองพรรคจะมีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนกันแต่การร่วมมือไม้ร่วมมือตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลจะไม่มีทางเห็นด้วยหรือทิศทางที่สอดคล้องกัน 100% ทั้งนี้เพราะทั้งสองพรรคหวังผลสัมฤทธิ์ในการทำงานหรือมีเป้าหมายของการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ไม่ว่ามีกี่เหตุผลที่ทำให้สองพรรคใหญ่จับมือทำงานร่วมกันไม่ได้ แต่เหตุผลหลักๆมีอยู่ข้อเดียวคือ “อุดมการณ์” ของทั้งสองพรรคนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จริงอยู่ว่าในการเมืองมีวลีที่พูดกันว่า “ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร” ซึ่งได้เกิดเหตุการณ์หลายกรณียืนยันวลีนี้แล้ว และทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่านักการเมืองคิดถึงเรื่องผลประโยชน์เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ในรูปของทรัพย์หรือผลประโยชน์ในรูปของอำนาจ
แต่ภาพลักษณ์ของทั้งสองพรรคที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ประชาชนฝังใจเชื่อนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญของการจับมือกันทำงานไม่ว่าจะในสถานะใด
หากไม่ใยดีต่อภาพลักษณ์เท่ากับยอมเสียมวลชนจำนวนมากที่สนับสนุนพรรคเพราะหลงเชื่อในภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นจุดขายของทั้งสองพรรคการเมือง
การจับมือกันทำงานในฐานะพรรคการเมืองจึงไม่มีวันเกิดขึ้นได้
แต่การจับมือกันทำงานในนามส่วนบุคคลนั้นเกิดขึ้นได้ แต่บุคคลนั้นต้องไม่อยู่ในสีเสื้อของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
การโยกย้ายสังกัดจากพรรคหนึ่งไปอยู่กับอีกพรรคหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้และเคยเกิดขึ้นให้เห็นมาแล้วในหลายกรณี ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนต่อภาพลักษณ์ที่ทั้งสองพรรคสร้างขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น อดีตส.ส.เขต อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อที่โนเนมหรือพอมีชื่อบ้าง สามารถย้ายสังกัดได้อย่างไม่เคอะเขิน แต่ระดับบิ๊กเนมที่เป็นแกนนำหรือเป็นสัญลักษณ์ของพรรคนั้นการย้ายไปสังกัดพรรคตรงข้ามเป็นไปไม่ได้เลย
ถ้าระจับมือกันทำงานก็ต้องออกไปสร้างบ้านหลังใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็พอมีให้เห็นมาบ้าง แต่โอกาสประสบความสำเร็จในสนามการเมืองก็เป็นไปได้ยาก
จึงไม่แปลกที่หลังข่าวการจับมือกับสกัดคสช.สืบต่ออำนาจออกมาเพียงวันเดียวจะมีคนของสองพรรคการเมืองพากันตบเท้ากันออกมาปฏิเสธ
โอกาสที่จะเห็นพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลจึงยากพอๆกับโอกาสที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเพราะภาพลักษณ์หรือจุดขายที่ทั้งสองพรรคสร้างขึ้นมามันค้ำคออยู่
You must be logged in to post a comment Login