วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

บทบาทของประวัติศาสตร์ / โดย บรรจง บินกาซัน

On December 11, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานมีการกล่าวถึงบุคคลและเรื่องราวต่างๆที่ดูคล้ายคลึงกันในบางกรณีและแตกต่างกันในบางกรณี ความคล้ายคลึงกันนี้เองที่ทำให้มีบางคนกล่าวว่าคัมภีร์กุรอานเป็นคัมภีร์ที่ลอกมาจากคัมภีร์ไบเบิล

หลักศรัทธาของอิสลามกำหนดให้มุสลิมทุกคนที่ศรัทธาในพระเจ้าต้องศรัทธาในคัมภีร์ของพระองค์ เพราะคัมภีร์คือวจนะของพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และคัมภีร์ของพระเจ้ามิได้มีแค่คัมภีร์กุรอานเพียงเล่มเดียว เพราะหลักฐานในคัมภีร์กุรอานกล่าวว่า นบีบางคนได้รับคัมภีร์จากพระเจ้า เช่น อับราฮัมได้รับคัมภีร์ที่เรียกว่า “ศุฮุฟ” โมเสสได้รับโตราห์ พระเยซูได้รับวิวรณ์ในรูปของคัมภีร์ไบเบิล และนบีมุฮัมมัดได้รับคัมภีร์กุรอาน

ดังนั้น มุสลิมจึงต้องศรัทธาในคัมภีร์ทั้งหมดที่พระเจ้าประทานแก่นบี เพื่อเป็นทางนำในการดำเนินชีวิตสำหรับมนุษยชาติ แต่มุสลิมจะถือว่าคัมภีร์กุรอานเป็นวิวรณ์ครั้งสุดท้ายที่พระเจ้ามีมายังนบีมุฮัมมัด และใช้คัมภีร์กุรอานเป็นเกณฑ์ตัดสินความถูกต้องของคัมภีร์อื่นๆ เช่น ถ้ามุสลิมพบในคัมภีร์ไบเบิลว่าโมเสสและเยซัสสอนว่าพระเจ้ามีองค์เดียว มุสลิมต้องเชื่อ หากผิดไปจากนั้นมุสลิมจะปฏิเสธ

เมื่อพระเจ้าเริ่มทยอยประทานคำสอนอิสลามแก่นบีมุฮัมมัด ชาวยิวและชาวคริสเตียนมีคัมภีร์ไบเบิลอยู่ก่อนแล้ว แต่เนื่องจากชาวคัมภีร์ทั้ง 2 กลุ่มนี้ต้องประสบกับการรุกรานจากชาติต่างๆไม่หยุดหย่อน บันทึกคัมภีร์ต้นฉบับจึงได้รับความเสียหาย แม้จะมีการรวบรวมกันขึ้นมาใหม่แต่ก็มีความไม่สมบูรณ์ บางส่วนถูกแก้ไขจนผิดเพี้ยนไปจากหลักความเชื่อเดิมที่โมเสสและเยซัสได้นำมาสั่งสอน

เยซัสหรือพระเยซูกล่าวไว้ชัดเจนว่าท่านมิได้มาทำลายธรรมบัญญัติเดิมที่โมเสสได้รับมาจากพระเจ้า แต่ท่านมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติเดิมของพระองค์สมบูรณ์ถูกต้อง นั่นคือหลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เพราะหลังสมัยของโมเสส ลูกหลานอิสราเอลได้หลงผิดไปจากคำสอนเดิมของบรรพบุรุษ

นบีมุฮัมมัดเองก็มิต่างไปจากเยซัสในเรื่องการเรียกร้องผู้คนสู่ความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว เพียงแต่ทั้ง 2 ท่านทำหน้าที่ในหมู่คน 2 กลุ่มที่มีบรรพบุรุษคนเดียวกัน นั่นคือ เยซัสในหมู่ลูกหลานอิสราเอล และนบีมุฮัมมัดในหมู่ชาวอาหรับ

แต่ชาวยิวมีความทะนงในเชื้อสายเพราะถือว่าพวกตนเป็นชนชาติที่พระเจ้าคัดเลือก และทะนงในความรู้เพราะชาวยิวมีคัมภีร์ทางศาสนามาก่อน ดังนั้น ชาวยิวจึงดูถูกชาวอาหรับว่าไร้อารยธรรม ไร้การศึกษา และไม่มีบรรพบุรุษที่เป็นนบี

ยิ่งเมื่อนบีมุฮัมมัดประกาศว่าท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบีทำหน้าที่ประกาศคำสอนอิสลาม ชาวยิวยิ่งไม่ยอมรับ เพราะอย่าว่าแต่ชาวยิวเลย แม้แต่ชาวอาหรับด้วยกันในเมืองมักก๊ะฮฺก็รู้ดีว่านบีมุฮัมมัดอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ แต่คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่านั่นเป็นประสงค์ของพระเจ้าที่คัดเลือกท่านมารับคัมภีร์กุรอาน ทั้งนี้ เพื่อมิให้ครหาได้ว่านบีมุฮัมมัดเป็นผู้แต่งคัมภีร์กุรอานขึ้นมา

ในคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวของผู้คนในอดีตและนบีหลายคนที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วย การเล่าเรื่องราวของนบีและกลุ่มคนในอดีตของคัมภีร์กุรอานมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นความบันเทิงและความสนุกสนานตามประสาของสังคมที่ไม่สามารถหาความบันเทิงจากวิทยุและโทรทัศน์ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันเป็นหลักฐานแก่ชาวยิวว่าถ้านบีมุฮัมมัดไม่ได้รับความรู้เรื่องอดีตจากพระเจ้า นบีมุฮัมมัดก็คงไม่สามารถเล่าเรื่องราวของนบีและกลุ่มชนต่างๆในอดีตที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วยภาษาที่มิใช่อาหรับ ทั้งนี้ เพื่อที่ชาวยิวจะได้ยอมรับคำสอนที่แท้จริงจากพระเจ้า

บางครั้งเรื่องราวของนบีบางคนในอดีตถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดเพื่อให้นำไปบอกเล่าแก่สาวกของท่านว่านบีทุกคนก่อนหน้าท่านมีภาระหน้าที่ในการเรียกร้องผู้คนสู่ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว และนบีทุกคนล้วนถูกต่อต้านจากผู้คนของท่าน แต่ถึงกระนั้นนบีทุกคนล้วนอดทนอย่างทรหดเป็นระยะเวลายาวนาน อย่างเช่น โนอาห์ และอับราฮัม เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วเรื่องราวการล่มสลายของกลุ่มชนและผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตอย่างเช่นฟาโรห์และโมเสสซึ่งคัมภีร์กุรอานบอกเล่านั้นก็เพื่อจะสอนลูกหลานของอับราฮัมทั้ง 2 สายคือ ชาวอาหรับและลูกหลานอิสราเอลว่า การปฏิเสธหรือการต่อต้านนบีเท่ากับการปฏิเสธหรือต่อต้านพระเจ้า และคนที่ต่อต้านพระเจ้านั้นล้วนแล้วแต่ประสบความหายนะทั้งสิ้น


You must be logged in to post a comment Login