วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ปลดล็อก..ก็ยุ่ง! ไม่ปลดล็อก..ยิ่งยุ่ง!! / โดย ทีมข่าวการเมือง

On December 11, 2017

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

“ถ้า พล.อ.ประวิตรไม่ตกคณิตศาสตร์ก็คงหาเรื่องอยู่ในอำนาจต่อ เพราะการไม่ปลดล็อกการเมืองจนกว่าใกล้เลือกตั้งจะทำให้การเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามกฎหมายการปลดล็อกจนถึงวันเลือกตั้งเสร็จสิ้นสมบูรณ์จะต้องใช้เวลาประมาณ 330 วัน ได้แก่ 180 วันสำหรับพรรคการเมืองทำกิจกรรมตามมาตรา 141 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง หากไม่เสร็จพรรคจะไม่มีสิทธิส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง และอีก 150 วันเพื่อจัดการเลือกตั้งตามมาตรา 268 แห่งรัฐธรรมนูญ

ขณะนี้กฎหมายลูก 2 ฉบับสุดท้ายเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. แล้ว จะใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 90 วัน รวมถึงขั้นตอนการส่งศาลรัฐธรรมนูญและ กกต. หรือภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2561 กฎหมายต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากนั้นจะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน ดังนั้น หากปลดล็อกวันที่ 15 ธันวาคม 2560 เราจะมี ส.ส. ครบจำนวนได้เร็วสุด 15 พฤศจิกายน 2561 ปัญหาจะเกิดขึ้นหากกฎหมายลูก 2 ฉบับสุดท้ายมีผลบังคับก่อน 15 มิถุนายน เพราะจะทำให้การจัดการเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญ

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ค Watana Muangsook (4 ธันวาคม) ในหัวข้อว่า “หนากว่านี้มีอีกมั้ย” สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่าไม่มีการหารือเพื่อปลดล็อกพรรคการเมืองเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้นักการเมืองอย่างที่มีข่าวออกมา ทั้งยังไม่ยืนยันว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามโรดแม็พหรือไม่อีกด้วย

นายวัฒนาตั้งข้อสังเกตว่า วันปลดล็อกการเมืองคือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องปลดล็อกทันที ไม่เช่นนั้นจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปจนขัดต่อรัฐธรรมนูญ การยืดเวลาปลดล็อกคือการจงใจเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป ซึ่งหากการเลื่อนนั้นเป็นผลให้การเลือกตั้งไม่แล้วเสร็จ ใน 150 วัน จะทำให้พรรคที่หนุน คสช. ถือโอกาสร้องให้การเลือกตั้งสิ้นผล เพื่อให้ คสช. อยู่ในอำนาจต่อ ดังนั้น การไม่ปลดล็อกคือเจตนาของเผด็จการที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป”

อาวุธสงครามโผล่ถูกจังหวะ

ขณะเดียวกันการพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดจำนวนมากถูกนำมาทิ้งไว้บริเวณริมคลองในเขตตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการจัดฉากเพื่อเป็นข้ออ้างไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองหรือไม่? แม้ พล.อ.ประวิตรจะย้อนถามผู้สื่อข่าวว่าจะจัดฉากไปทำไม แต่หลายฝ่ายก็ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นแค่ “มุกเดิมๆ” ที่ คสช. ฉวยโอกาสเอาเรื่องการพบอาวุธที่ฉะเชิงเทรามาเป็นข้ออ้างเพื่อยื้ออำนาจต่อหรือไม่?

การพบเครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดจำนวนมากกลายเป็นประเด็นที่ยึดโยงกับการเมืองและการปลดล็อกพรรคการเมืองอย่างเหลือเชื่อ แต่ฝ่ายการเมืองกลับเชื่อว่าเป็นการจัดฉากมากกว่า เพราะผ่านมากว่า 3 ปีแล้ว ทำไมจึงเพิ่งค้นพบและมีการโยงใยว่าเป็นอาวุธสงครามล็อตเดียวกับกลุ่ม “โกตี๋” นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดง ที่ใช้ก่อเหตุเมื่อปี 2557

ที่สำคัญ “โกตี๋” ได้เงียบหายไปตั้งแต่มีข่าวว่าถูกกลุ่มชายชุดดำบุกเข้าจับตัวภายในบ้านพักริมฝั่งแม่น้ำโขงของ สปป.ลาว ตั้งแต่ค่ำวันที่ 29 กรกฎาคม 2560 และจนปัจจุบันก็ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน ซึ่ง “ลุงสนามหลวง” หรือ “ชูชีพ ชีวะสุทธิ์” ประธานองค์กรสหพันธรัฐไท ที่อยู่บ้านเดียวกับ “โกตี๋” ได้ยืนยันผ่านยูทูบว่า “โกตี๋” ที่ถูกอุ้มหายตัวไปนั้น “ปิดเคส” แล้ว คือ “ตายแล้ว” นั่นเอง

ดำเนินคดี 5 ผู้ต้องสงสัย

การค้นพบอาวุธสงครามดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา .อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ให้ดำเนินคดีกับ 1.นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร 2.นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ หรือเปี๊ยก กาละแม 3.นายสมเจตน์ หรือสน คงวัฒนะ 4.นายมนัส หรือ พล.ท.มนัส เปาริก หรือ เสธ.หยอย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และ 5.นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในครอบครอง และความผิดฐานอั้งยี่ซ่องโจร

การร้องทุกข์กล่าวโทษระบุว่า จากการตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าเป็นอาวุธที่บุคคลดังกล่าวส่งมอบให้กับผู้ก่อเหตุวุ่นวายในช่วงปี 2557 และมีความเกี่ยวพันกับอาวุธเหล่านี้ ซึ่งพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับภายในวันที่ 6 ธันวาคม โดยนายวัฒนา นายชัยวัฒน์ และนายสมเจตน์ เคยถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธสงครามที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่นำไปก่อเหตุรุนแรงช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เมื่อปี 2557

ส่วน พล.ท.มนัสและนายจักรภพซึ่งหายเงียบไปนานแล้ว โดยเฉพาะ พล.ท.มนัสเคยถูกกล่าวหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในราชการสงครามเมื่อปี 2557 ซึ่ง พล.ท.มนัสเคยถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับ ชายชุดดำ โดยก่อนที่ พล.ท.มนัสจะถูกศาลทหารออกหมายจับ คสช. เคยมีคำสั่งให้ไปรายงานตัวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 และได้รับการปล่อยตัววันที่ 28 พฤษภาคม 2557 คสช. เชื่อว่า พล.ท.มนัสไม่ใช่นายทหารแตงโมระดับธรรมดา แต่ พล.ท.มนัสก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหัวหน้าชายชุดดำในเหตุการณ์ปี 2553 ที่ทำให้ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต

“จักรภพ” โต้ “มั่วซั่ว”

ทันทีที่เป็นข่าวนายจักรภพได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวปฏิเสธการเกี่ยวข้องกับการซ่องสุมอาวุธและขอประณามการออกข่าวที่มั่วซั่วไร้ข้อเท็จจริงว่า เป็นข่าวปลอมที่ถือเป็นความสิ้นคิดของคนออกข่าวและคนที่ไปคาบข่าวเอามาวิจารณ์ต่อ ทั้งที่หลายปีที่ผ่านมาอยู่นอกประเทศอย่างเงียบสงบเพื่อรอให้ความชั่วร้ายในระดับระบอบซึมเข้าไปในหัวของคนส่วนมากในสังคมเสียก่อน จึงขอบอกไว้ให้ชัดตรงนี้ว่า อย่ายั่วยุกันให้มากจนเกินไปนัก การลุกฮือของประชาชนไม่ใช่ของที่ไกลเกินเอื้อม

“สิ่งเดียวที่ผมยึดมั่นคือการต่อสู้ตามหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย เพราะเพียงเท่านั้นฝ่ายประชาชนก็ชนะขาดลอย ไม่ต้องไปจับอาวุธที่ไหนให้ขัดต่อคุณธรรมและความยอมรับสากลเลย” นายจักรภพแถลง

ข้องใจไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง

ประเด็นอาวุธสงครามอาจไม่ใช่แค่ประเด็นทางการเมืองปรกติ เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานการณ์ยังไม่เอื้อที่จะปลดล็อกการเมือง โดย พล.อ.เฉลิมชัยชี้ว่า เรื่องปลดล็อกพรรคการเมืองไม่ได้มีแค่ประเด็นอาวุธสงคราม แต่ยังมีประเด็นด้านกฎหมาย เรื่องสถานการณ์ เรื่องความเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงจะประเมินสถานการณ์ให้นายกฯทราบและให้ที่ประชุมตัดสินใจ ซึ่งตนเข้าใจความรู้สึกของพรรคการเมืองเรื่องความเห็นที่แตกต่าง แต่หากความเห็นที่แตกต่างนำไปสู่ความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องพยายามตีกรอบไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ

ขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คกรณี พล.อ.ประวิตรยืนยันว่ายังไม่มีสัญญาณปลดล็อกพรรคการเมืองหลังพบอาวุธสงครามว่า การอ้างเหตุการณ์ต่างๆของรัฐบาล คสช. ไม่ว่าจะมีขบวนการต่อต้านและการเชื่อมโยงการพบอาวุธนั้น ก็เพื่อเลื่อนการปลดล็อกพรรคการเมืองโดยเลื่อนลอย ขณะที่ความไม่สงบตามที่กล่าวอ้างล้วนเกิดจากรัฐบาลทั้งสิ้น หากอยากอยู่ในอำนาจต่อไปก็ควรหาวิธีการที่แนบเนียนกว่านี้

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า การอ้างบ้านเมืองยังไม่สงบหลังพบอาวุธสงครามและไม่ปลดล็อกการเมืองนั้น ดูจะเป็นการจับแพะชนแกะและเหมารวมอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้หลายคนเข้าใจว่ากลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบันต้องการยื้อเพื่อสืบทอดอำนาจออกไป ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลทหารและ คสช. เพราะทุกวันนี้รัฐบาลรู้ดีว่าประเทศกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจค่อนข้างรุนแรง และประชาชนกำลังเผชิญภาวะความยากลำบากอย่างมาก ต้นตอของปัญหาที่สำคัญคือการขาดความเชื่อมั่นและความแน่นอนในการพาประเทศกลับคืนสู่ระบบปรกติที่ทุกฝ่ายและนานาอารยประเทศยอมรับ การปลดล็อกพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำตามกฎหมายที่รัฐบาลบัญญัติขึ้นมา อย่าทำให้การบริหารประเทศและการปฏิบัติตามกฎหมายกลายเป็นเรื่องอำเภอใจที่จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ เพราะจะยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือในระบบของประเทศยิ่งแย่หนักขึ้นไปกว่าเดิม

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า ไม่ควรนำการตรวจพบอาวุธมาเป็นเงื่อนไขเพื่ออ้างเลื่อนเลือกตั้ง เพราะการประกาศเลื่อนเลือกตั้งจะซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้ทรุดกว่าเดิม

นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เหลือเวลาอีกเพียง 30 วันเท่านั้นที่พรรคการเมืองต้องดำเนินกิจกรรมให้แล้วเสร็จ หากการปลดล็อกล่าช้าจะส่งผลถึงความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งจนอาจเป็นปัญหาให้ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง

ภายใต้รัฐบาลรัฐประหารอะไรก็เกิดได้

ประเด็นอาวุธสงครามกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญให้รัฐบาลทหารและ คสช. ยืนยันว่ายังไม่ถึงเวลาปลดล็อกพรรคการเมือง แม้จะมีปัญหาเรื่องระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็สามารถแก้ไขกฎหมายได้ ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็พูดชัดเจนว่า หาก คสช. ไม่ปลดล็อกก็ถือว่าไม่ขัดกฎหมาย เพราะ คสช. ใช้อำนาจคนละส่วน ส่วนกรอบเวลาที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดไว้จะครบกำหนดการส่งรายชื่อสมาชิกพรรคที่ปรับปรุงแล้วให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันที่ 5 มกราคม 2561 นั้น หากไม่ทันก็สามารถเสนอแก้กฎหมายได้ ตอนนี้พรรคการเมืองก็ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกและด้านธุรการได้ แต่ต้องไม่ใช่การจัดประชุมหรือกิจกรรมที่มีการชุมนุม

ประเด็นอาวุธสงครามยิ่งถูกมองว่าไม่ต่างกับกรณี “คาร์บอมบ์” สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเป็นการจัดฉาก “คาร์บ๊องส์” หรือมีการลอบสังหารอดีตนายกฯทักษิณจริงๆ ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลทหารและ คสช. ถูกมองว่าอยู่ในช่วง “ขาลง” ความเชื่อถือของประชาชนนับวันมีแต่ลดลง เพราะกว่า 3 ปีที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่าการทำรัฐประหารไม่ได้แก้ปัญหาประเทศได้อย่างแท้จริงเลย ทั้งภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหารและ คสช. ก็ถูกตั้งคำถามมากมายถึงความซื่อสัตย์สุจริต จนถึงกรณีล่าสุด “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งยิ่งเงียบก็ยิ่งมีคำถามมากขึ้นและท้าทายต่อมจริยธรรมของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าจะปฏิบัติต่อเรื่องนี้ด้วยมาตรฐานใด

ปลดล็อก..ก็ยุ่ง! ไม่ปลดล็อก..ยิ่งยุ่ง!!

“ไม่รู้ไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรกันนักหนา เป็นวงเดียวที่เคยใส่ ผมมีแหวน 3-4 วง แต่เมื่อวันที่ 4 ธันวาฯ เลือกใส่วงนี้ เพชรแค่กะรัตเดียวเอง ไม่ใหญ่โตอะไร ไม่ใช่ใส่เพราะเป็นการประชุมนัดแรกของ ครม.ชุดใหม่ และไม่ใช่ต้องการใส่มาโชว์ เพียงแต่บังเอิญแสงสะท้อนพอดี”

นั่นคือคำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตรในวันประชุม ครม.นัดแรกของ ครม.ประยุทธ์ 5 เสียงวิจารณ์ที่เป็นคำถามที่ดังกระหึ่มไม่ใช่แหวนเพชร แต่เป็นนาฬิกาข้อมือที่ใส่ที่เป็นนาฬิกาหรูสัญชาติสวิสยี่ห้อ Richard Milleรุ่น WG 503.06.91 ใช้วัสดุเป็นทองคำขาว มีราคาสูงถึง 242,000 ยูโร หรือประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งมีคำถามว่า พล.อ.ประวิตรต้องมีเงินเท่าไรถึงซื้อนาฬิกาเรือนละเป็นสิบล้านบาทได้ อาจไม่ใช่เรื่องที่สังคมอยากรู้มากนัก แต่ประเด็นที่อยากได้คำตอบก็คือคำถามที่ว่า พล.อ.ประวิตรแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ครั้งเข้ารับตำแหน่งปี 2557 หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตรบอกว่าพร้อมชี้แจงกับ ป.ป.ช. และยังถามว่าวิจารณ์กันทำไมมากมายกับนาฬิกาที่ “เป็นของเดิมที่เคยใส่เป็นประจำ” แต่คำว่า “ของเดิม” ก่อนเข้ารับตำแหน่งหมายความว่าไม่ได้แจ้งรายการ “ทรัพย์สินอื่น” ตามกฎหมายกับ ป.ป.ช. หรือเพิ่งซื้อมา? จึงมีคำถามตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ซื้อจากเงินเดือนในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือรายได้ประจำที่แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินไว้? จริงหรือที่มาจากเงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญและเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดและบำนาญที่ได้ปีละ 874,308 บาท ซึ่ง พล.อ.ประวิตรแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ปี 2557 ว่ามีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 87,373,757 บาท เป็นเงินฝาก 53,197,562 บาท เงินลงทุน 7,076,195 บาท ที่ดิน 17 ล้านบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 ล้านบาท และยานพาหนะ 100,000 บาท

ถึงกรณีนาฬิกาหรูและแหวนเพชรเม็ดโตของ พล.อ.ประวิตรจะเป็นข่าวฮือฮาขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าคงไม่ทำให้อำนาจของ พล.อ.ประวิตรและรัฐบาลทหารสั่นคลอนแน่นอน แม้ พล.อ.ประวิตรจะไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. ก็ตาม

ล่าสุดนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่าเป็นการจงใจปกปิดทรัพย์สินหรือไม่ และจะเสนอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ถ้าเป็นการเมืองปรกติก็คงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมีการไล่บี้ทั้งในสภาและไล่บี้ให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบความถูกต้อง แต่ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่มาจากการยึดอำนาจ ทุกฝ่ายต้องยอมก้มหัวรับความจริงว่ารัฐบาลทหารและ คสช. ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะมีทั้งอำนาจมาตรา 44 และรัฐธรรมนูญคุ้มครอง รวมถึงการไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมืองเพื่อให้ทำกิจกรรมทางการเมืองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็ยังไม่มีความผิด และยังสามารถแก้กฎหมายได้อีกด้วย

แม้จะไม่มีผลสะเทือนจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าเป็นช่วง ขาลงจากหลังเสือจริงๆ

รัฐบาลช่วง ขาลงไม่ว่าจะมาจากระบอบไหน มักจะออกอาการ เป๋แบบนี้มาทุกยุคสมัย

แม้หลายฝ่ายต่างกังวลกันมากมายว่า หลังการ “ปลดล็อก” พรรคการเมือง..คงยุ่งแน่! แต่ดูเหมือนว่าการ “ไม่ปลดล็อก” ยื้อเวลา ยื้ออำนาจไว้ อาจเป็น “ระเบิดเวลา” ที่ทำลายทุกอย่าง และจะยิ่งยุ่งหนักกว่าการ “ปลดล็อก” เสียอีก!!

ปลดล็อก..ก็ยุ่ง! ไม่ปลดล็อก..ยิ่งยุ่ง!! กรรมของคนไทยจริงๆ!!??


You must be logged in to post a comment Login