- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 4 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
คนดี..ไม่มีเสื่อม! (เวลาเหลือน้อยเต็มที) ?” / โดย ทีมข่าวการเมือง
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
“แหวนแม่? …นาฬิกาเพื่อน”
บทความของ “หมัดเหล็ก” ใน “ไทยรัฐออนไลน์” ที่อ้างว่าพูดกับคนใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำนองว่า “แหวนวงดังกล่าวเป็นของแม่ที่ตกทอดมาจากพ่อ เอามาใส่เป็นสิริมงคลในวันสำคัญ ส่วนนาฬิกาก็เป็นของเพื่อนรักซึ่งเป็นนักธุรกิจดังให้หยิบยืมมาชั่วครั้งชั่วคราว”
ไม่ว่าข่าวดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือแค่ “โยนหินถามทาง” ก็ตาม “บิ๊กป้อม” ก็ปฏิเสธว่าไม่รู้ว่าข่าวออกมาได้อย่างไร และจะชี้แจงกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เท่านั้น
แม้ท่าทีของ “บิ๊กป้อม” ไม่แสดงความวิตกกังวลใดๆเลย แต่ข่าวที่ออกมาก็กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์และยิ่งทำให้มีคำถามตามมาอีกหลากหลาย แม้อาจจะมีทางออกแบบว่าเป็นแค่เรื่อง “ของปลอม” และคนส่วนใหญ่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ในที่สุดเชื่อว่าเรื่องแหวนเพชรเม็ดโตและนาฬิกาหรูจะจบแบบ “ไม่ผิด” และเรื่องจะเงียบหายไปเหมือนหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นในรัฐบาลจากการรัฐประหาร แบบเดียวกับข้อครหาหลายเรื่องในกองทัพที่หายเงียบไปในกลีบเมฆ อาทิ พฤติกรรมของน้องชายและหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ไม่มีอะไรไปตรวจสอบหรือจับต้องได้
ขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์บ่งบอกว่าไม่ต้องให้กำลังใจอะไร พล.อ.ประวิตร เพราะเข้มแข็งพอ เป็นทหารสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว แต่ก็ปรามสื่อให้ลดราวาศอกลงบ้าง อย่าจ้องเล่นงาน พล.อ.ประวิตร ให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ดูข้อกฎหมายก่อน อย่ามองว่าแย่ไปทั้งหมด
โดย พล.อ.ประยุทธ์เห็นว่าการที่หลายฝ่ายจับจ้องไปที่ พล.อ.ประวิตร เพราะต้องการให้เกิดความแตกแยกกับตน “ผมเองก็แข็งแรงเยอะ ถ้ายิ่งไม่มีคนอยู่ด้วยก็จะยิ่งดุกว่าเดิม จะใช้อำนาจอย่างเต็มที่”
อ้างชื่อ “บิ๊กป้อม” รับประโยชน์
สถานะของ “บิ๊กป้อม” ที่ถือเป็น “พี่ใหญ่” ของ คสช. นั้นย่อมปฏิเสธไม่ได้ที่จะยึดโยงกับเครือข่ายต่างๆทั้งด้านกว้างและด้านลึก ทำให้ที่ผ่านมามีการอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตรไปแสวงหาผลประโยชน์หลายครั้ง โดยสำนักข่าวบีบีซีไทยระบุว่ามี 5 ครั้งคือ
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ออกมาเปิดเผยว่าถูก “ดอกเตอร์” อ้างว่ารู้จักตนและรองนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ได้โครงการรัฐ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรระบายความรู้สึกที่ถูกอ้างชื่อในหลายกรรมหลายวาระ เช่น โดนเตะตัดขาอยู่เรื่อย หรือเสี้ยมให้คนเกลียดกัน แต่ยืนยันว่า “ทำงานมา 2 รัฐบาลแล้วไม่เคยแตะเงินสักบาท” (28 มกราคม 2559) และ “เขาคงคิดว่าผมมีอำนาจมาก แต่ผมก็ไม่เคยใช้อำนาจ” (11 กุมภาพันธ์ 2559)
ปี 2559 โครงการขุดลอกคูคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.)
ปี 2560 โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 100 เมกะวัตต์ ของ อผศ. ซึ่งผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร
ปี 2560 โครงการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) งบประมาณ 55 ล้านบาท ผู้ต้องหารู้จักบุคคลที่อ้างว่าเคยทำงานให้ พล.อ.ประวิตร
ล่าสุดปี 2560 โลกออนไลน์เผยแพร่ภาพพระครูกิตติพัชรคุณ หรือนายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 53 ปี เจ้าอาวาสวัดลาดแค เจ้าคณะอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ถูกจับสึกข้อหากระทำอนาจารเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ขณะเดินทางไปอวยพร พล.อ.ประวิตรที่บ้านพัก ซึ่ง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงภาพดังกล่าวว่า “ทุกคนเมื่อเห็นผ้าเหลืองก็ต้องกราบไหว้กันทั้งนั้น และต้องเข้าใจว่าทุกคนกราบผ้าเหลือง เมื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองไปมา ส่วนใหญ่ทางวัดก็จะถ่ายภาพเก็บไว้” และย้ำว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้เดินทางไปทอดกฐินที่วัดดังกล่าว 2-3 ปีแล้ว และได้แจ้งไปยังหน่วยต่างๆในพื้นที่ภาคเหนือว่าไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระรูปนี้
ก่อนเกิดกรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู พล.อ.ประวิตรยังถูกเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” เปิดเผยรายชื่อที่อ้างว่าเป็นคณะ พล.อ.ประวิตรเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำของการบินไทยที่มีค่าใช้จ่าย 20,953,800 บาท ไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-สหรัฐที่โฮโนลูลู รัฐฮาวาย ซึ่ง พล.อ.ประวิตรยืนยันว่าคณะที่เดินทางไป 38 คน มีหน้าที่ด้านความมั่นคง ไม่มีคนใกล้ชิดพิเศษไปด้วย “ทุกคนที่ไปเกี่ยวกับตัวผมหมด เพราะผมไปทำงาน ผมใช้ทุกคน”
เบื่อคนหน้าด้าน
เรื่องที่พาดพิง พล.อ.ประวิตรไม่ใช่แค่กรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู แต่ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความถูกผิดทางกฎหมาย ซึ่ง คสช. มักจะประณามพฤติกรรมของนักการเมืองมาตลอดว่าเป็นปัญหาของประเทศ ดังนั้น กรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรูจึงอาจไม่จบง่ายๆไม่ว่าผลการสอบสวนของ ป.ป.ช. จะออกมาอย่างไรก็ตาม เพราะไม่ใช่แค่ฝ่ายการเมืองเท่านั้นที่ตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบัน แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็รอดูการทำงานของ ป.ป.ช. ว่าเรื่องของ พล.อ.ประวิตรจะออกมาอย่างไร ยิ่งมีการเปรียบเทียบกับการไล่บี้ของ ป.ป.ช. กรณีนาฬิกาเรือนละ 2.5 ล้านบาทของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และหลายเรื่องฉาวที่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหารและ คสช. ไม่น้อย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลทหารมาตลอด ได้พูดถึง พล.อ.ประวิตรผ่านเฟซบุ๊ค (9 ธันวาคม) โดยจั่วหัวข้อว่า “เบื่อคนหน้าด้าน!!!” ว่าถ้าเป็นตนเองลาออกไปแล้ว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ย้อนถึงกรณี “น้องเมย” นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต ก็ออกมาปกป้องทหาร ทหารเกณฑ์ที่ไปฝึกที่ศูนย์การทหารม้าสระบุรีเสียชีวิตก็ปกปิดข่าว ถ้าเป็นประเทศไต้หวันทหารเกณฑ์ตายรัฐมนตรีกลาโหมยังลาออก หรือเกาหลีใต้ทหารที่รับผิดชอบถูกจำคุก 4-5 ปี แต่ประเทศไทยไม่มีใครรับผิดชอบเลย ทั้งไม่เชื่อใจการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. เพราะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เพิ่งสรรหาเข้ามาใหม่ 5 คน ล้วนเป็นเด็กของผู้มีอำนาจทั้งนั้น พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ก็รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร สังคมจึงน่าจะรู้ว่าเรื่องนี้จะไปในแนวไหน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เชื่อว่ากรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู พล.อ.ประวิตรก็อาจได้คำตอบว่าเป็น “ของปลอม” ทำให้การสอบสวนต้องยุติไป ถ้าบอกยืมใครมามีที่มามั้ย การสั่งซื้อ ใบเสร็จต่างๆ ถ้าตัวเองซื้อมาแล้วไม่แจ้ง ป.ป.ช. ก็ต้องออกมาเป็นของปลอม ส่วนสังคมจะขอดูได้มั้ยว่าของปลอมเป็นยังไง ก็เชื่อว่าไม่ให้ดูแล้วยังอาจด่ากลับด้วย ถ้าเป็นข้าราชการก็ถูกไล่ออกแล้ว จะมารับใช้ประชาชน กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่มาด่าประชาชน อย่างไปภาคใต้ชาวบ้านมาร้องเรียนแทนที่จะรับเรื่องไว้ก็ไปด่าเขา พฤติกรรมรัฐบาลนี้ไม่เหมาะสมแต่ดันทุรังจะอยู่
นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะกล้าชี้แจงตามข่าวที่ว่าแหวนเพชรเป็นของมารดาและนาฬิกาหรูเป็นของเพื่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นและปรากฏว่า ป.ป.ช. เชื่อ ตนคิดว่าหน่วยงานแรกที่จะต้องถูกยุบทิ้งก็คือ ป.ป.ช. เพราะเท่ากับว่าต่อไปไม่สามารถปราบปรามทุจริตได้อีกแล้ว
“ชวน” ออกมากรีด “ลุงตู่”
ที่ต้องจับตามองคือกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลถือว่าไม่ปรกติ แม้จะพูดเฉพาะเรื่องรายได้ต่อครัวเรือนประชาชนในภาคเหนือและภาคใต้ที่ลดลง ต้องไปดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จากการลงพื้นที่พบว่าจังหวัดเหล่านั้นยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรในหลายด้าน ถือเป็นการกรีดเรื่องเศรษฐกิจแบบนิ่มๆ แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณให้รัฐบาลทหารตระหนักว่าปัญหาปากท้องของประชาชนขณะนี้รุนแรงอย่างยิ่ง
ไม่ต่างกับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันที่พูดกันกระหึ่มทุกสื่อทุกช่องทางอยู่ขณะนี้ แม้แต่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็จี้ให้ “ทั่นผู้นำ” กวดขัน “คนสนิท” ทุกระดับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันทั้งธุรกิจบนดินและใต้ดิน ซึ่งวันนี้ไม่ได้จ่ายแค่ “สีกากี” แต่ต้องจ่ายให้ “สีเขียว” ด้วย
“อียู” ปลดล็อกรัฐประหาร
ท่ามกลางข่าวฉาวดูเหมือนจะมีข่าวดีสำหรับรัฐบาลทหารเมื่อคณะรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) แถลงการณ์ว่าจะแสวงหาทางที่เป็นไปได้ในการกลับมาเจรจาความร่วมมือกับรัฐบาลไทยด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีกันใหม่ รวมทั้งการลงนามในกรอบข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ (Partnership and Cooperation Agreement – PCA) ซึ่ง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้เตือนข้าราชการอย่าดีใจจนเหลิงและหลงลืมเจตนารมณ์หรือความตั้งใจที่จะทำ ทั้งให้ความเห็นว่าอียูส่งสัญญาณที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ เพราะเห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อย และการวางยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และแก้ปัญหาภายในประเทศไปพร้อมกัน เช่น การแก้ไขการทำประมงที่ผิดกฎหมายในอดีต การกดขี่ข่มเหงแรงงานต่างด้าว หรือการจัดระเบียบการจับสัตว์น้ำเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
หากดูในรายละเอียดแถลงการณ์ที่มีสาระสำคัญ 14 ข้อ ก็ทำให้เห็นว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์จึงตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า “ก็ดีแล้วนี่” เพราะแถลงการณ์ดังกล่าวจะยังไม่มีการลงนามข้อตกลงใดๆ ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศจะให้มีการเลือกตั้งประมาณปลายปี 2561 เท่านั้น แต่ยังคงเน้นย้ำให้รัฐบาลทหารเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานพร้อมๆกับการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างเร่งด่วนที่สุดโดยผ่านการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย รวมถึงการยกเลิกการนำพลเรือนขึ้นศาลทหารและความผิดที่เกิดก่อนวันที่ 12 กันยายน 2559
ยกเลิกข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ ตลอดจนเสรีภาพในการชุมนุมและการรวมกลุ่ม ให้ปลดล็อกพรรคการเมืองเพื่อให้ทำกิจกรรมทางการเมือง ให้การเคารพบทบาทของภาคประชาสังคมตามระบอบประชาธิปไตย รวมถึงสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปจะทบทวนความสัมพันธ์กับประเทศไทยและอาจจะพิจารณาดำเนินการตามมาตรการอื่นต่อไปตามสถานการณ์ การปรับความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะปรกติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
เหมือนถูกตบหน้าและประจาน
แถลงการณ์ของอียูที่ดูเหมือนรัฐบาลจะมาถูกทางและทุกอย่างกำลังจะราบรื่น แต่เงื่อนไขในแถลงการณ์ก็พูดชัดเจนถึงการฟื้นความสัมพันธ์ปรกติก็ต่อเมื่อรัฐบาลทหารกลับคืนสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่าไม่ใช่แค่การ “ปลดล็อกรัฐประหาร” แต่เป็นการบีบให้ พล.อ.ประยุทธ์ทำตามโรดแม็พที่ประกาศไว้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลทหารและ คสช. ยังไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมืองทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดระยะเวลาให้พรรคการเมืองต้องทำกิจกรรมตามที่กฎหมายกำหนด
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ชี้ว่าข้อเรียกร้อง 14 ข้อที่อียูให้รัฐบาลทหารรีบคืนประชาธิปไตยโดยเร่งด่วนที่สุด จัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานเท่ากับตบหน้าไทยและประจานไปทั่วโลก ความเชื่อมั่นประเทศซึ่งมีน้อยอยู่แล้วต้องต่ำเตี้ยจมดินไปในคราวนี้
นายชวลิตกล่าวว่า ความเชื่อมั่นประเทศเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดที่จะชี้ว่าประเทศจะเดินหน้าไปได้หรือไม่ และเพื่อบรรเทาความเสียหาย กู้ศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา ขอเรียกร้องรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องเสียสละอำนาจ รีบประชุมเพื่อกำหนดแนวทางคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริงโดยเร็ว เพราะโลกเริ่มล้อมประเทศเราหนักขึ้นแล้ว และจะกระชับขึ้นเรื่อยๆ หากยังเห็นแก่ตนและพวกพ้องโดยลืมประชาชน บ้านเมืองจะเสียหายจนกู่ไม่กลับ การคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วเป็นทางออกที่สง่างามที่สุด
นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า แถลงการณ์ของอียูถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เป็นแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศต่อรัฐบาลทหารไทย ดูเหมือนอียูกำลังใช้แต้มต่อรองที่สำคัญคือ การฟื้นฟูกระบวนการเจรจากรอบความร่วมมือทางการค้าและการเมืองมาเป็นเงื่อนไขกดดันรัฐบาล คสช. จัดให้มีการเลือกตั้งตามที่สัญญาไว้ โดยจะต้องยุติการลิดรอนสิทธิเสรีภาพต่างๆที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูประชาธิปไตย ที่สำคัญเป็นการย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างอียูกับไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปรกติก็ต่อเมื่อไทยมีรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น
คนดี..ไม่มีเสื่อม!
สถานการณ์ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ประดังเข้ามาขณะนี้ไม่ใช่เส้นทางที่ราบรื่นของรัฐบาลทหารและ คสช. เลย ยิ่งนานวันยิ่งเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำรัฐประหารและรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาเกือบจะ 4 ปีนั้นไม่ใช่เรื่อง “เสียของ” .. “เสียเปล่า” แต่ได้พิสูจน์ว่ารัฐประหารได้สร้างความ “เสียหาย” ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างมาก
แม้แต่แถลงการณ์ของอียูก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด เพราะระบุชัดเจนว่ารัฐบาลทหารต้องเร่งให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด รวมถึงการเคารพสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งก็คือการบีบให้รัฐบาลทหารต้องรีบลงจากอำนาจ ไม่ใช่ยืดเวลาเพื่ออยู่ในอำนาจให้นานที่สุดอย่างที่หลายฝ่ายตั้งข้อครหา โดยนิตยสาร “ดิ อิคอนอมิสต์” เปรียบเทียบการเลือกตั้งครั้งหน้าทั้งไทยและกัมพูชาว่าเป็นเพียง “shams” หรือหลอกลวงด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งทุกอย่างสะท้อนชัดเจนจากรัฐธรรมนูญที่ร่างจาก คสช. เอง
การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลทหารและ คสช. นอกจากไม่ได้ทำให้ปัญหาบ้านเมืองดีขึ้นแล้วยังถูกมองว่ายิ่งถอยหลังเข้าคลอง ขณะที่เรื่องฉาวและอึมครึมสารพัดก็ประดังให้เห็นอย่างต่อเนื่อง จนมีคำถามว่า “วันนี้มีใครเชื่อสิ่งที่รัฐบาลทหารทำบ้าง? ใครยังฟัง “คณะทั่นผู้นำ” พูดบ้าง? ยิ่งในโซเชียลมีเดียยิ่งเต็มไปด้วยการล้อเลียนทั้งภาพและข้อความต่างๆถึง “สังคมคนดี” สะท้อนถึงมนต์ขลังของ “คณะทั่นผู้นำ” ที่กรอกหูประชาชนทุกวันและทุกสื่อนั้น ยังคงมีมนต์ขลังหรือเสื่อมถอยจนแทบไม่เหลือแล้ว โดยเฉพาะคำว่า “ธรรมาภิบาล” ที่เป็น 1 ใน 6 คำถามที่ “คณะทั่นผู้นำ” ชอบถามประชาชนว่ามั่นใจอย่างไรว่าจะได้นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล
วันนี้คำถามได้ย้อนกลับมาถาม “คณะทั่นผู้นำ” และพวกพ้องที่ล่อง “เรือแป๊ะ” ว่าจะให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อไปได้อย่างไร
กล่าวกันว่า “คนเลว” ที่พร้อมจะโกหกตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดา แต่ที่แย่หนักกว่าก็คือยังมีคนเชื่อทั้งที่รู้ว่าโกหก
ความเสื่อมทรุดทางสติปัญญาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยภายใต้สังคม “คนดี” ที่ผูกขาดความดีไว้แต่พวกตนจึงอันตรายอย่างที่สุด
คนดี.. ไม่มีเสื่อม! ..ที่เสื่อมก็คือจะรู้ได้อย่างไรว่า “คนดี” ที่คอยประณามคนอื่นว่าชั่วว่าเลวนั้น.. “ดีจริง”!!??
You must be logged in to post a comment Login