- ปีดับคนดังPosted 12 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
เข้าใจชีวิตใหม่จากฝน / โดย บรรจง บินกาซัน
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
ความเชื่อในการมีอยู่ของสวรรค์และนรกเป็นความเชื่อร่วมกันของทุกศาสนา ไม่มีศาสนาใดที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้
ภาพพจน์ความสุขสบายในสวรรค์ที่คัมภีร์ทางศาสนากล่าวไว้มีส่วนบันดาลใจให้ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ยังคงมุ่งมั่นทำความดีต่อไป ถึงแม้จะต้องยอมสละทรัพย์สินหรือพลีชีวิตของตนก็ตาม
ขณะเดียวกันภาพพจน์ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสในนรกที่คัมภีร์ทางศาสนากล่าวไว้ก็ทำให้ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ต้องคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งแล้ว และยับยั้งตนเองก่อนทำความชั่ว
สวรรค์และนรกเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันเป็นความจริงที่กาลเวลาและวิทยาศาสตร์ไม่อาจลบล้างได้ ต่างไปจากทฤษฎีบางอย่าง เช่น ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน หรือทฤษฎีประชากรของมอลธัส ที่ถูกกาลเวลาลบล้างไปเมื่อมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์
ศาสนาคริสต์เชื่อในการมีอยู่ของสวรรค์ และเรียกสวรรค์ว่าเป็นอาณาจักรของพระเจ้า แต่ศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่ามนุษย์คนใดจะเข้าสวรรค์หรือนรก ทุกคนต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมในวันพิพากษาก่อน เพราะถ้าจะให้มนุษย์ทั้งหมดที่มีทั้งคนดีและคนบาปเข้าสวรรค์ทั้งหมด สามัญสำนึกของมนุษย์ก็จะบอกว่ามันไม่ยุติธรรมและขัดกับคุณสมบัติของพระเจ้าผู้ทรงความยุติธรรม
ความเชื่อในเรื่องสวรรค์และนรกและความเชื่อในเรื่องวันพิพากษาถือเป็นหลักความศรัทธาขั้นพื้นฐานของอิสลาม มุสลิมคนใดที่ปฏิเสธเรื่องการมีอยู่ของสวรรค์หรือนรกถือเป็นการปฏิเสธพระเจ้าโดยปริยาย และถือว่าหลุดพ้นจากสถานภาพความเป็นมุสลิมโดยทันที
ดังนั้น ในการละหมาดทุกเวลา มุสลิมจึงถูกย้ำเตือนถึงความจริงในเรื่องนี้เมื่อต้องอ่านข้อความตอนหนึ่งในการละหมาดซึ่งมีความหมายว่า “พระเจ้าเป็นผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดในวันแห่งการพิพากษา”
อย่างไรก็ตาม ตามหลักศรัทธาของอิสลาม ก่อนเข้าสู่กระบวนการพิพากษามนุษย์ต้องถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพที่มีเนื้อหนังและสังขารเหมือนกับที่อยู่ในโลก ทั้งนี้ เพื่อให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้รับความสุขเป็นการตอบแทนความดี และได้รับความทุกข์ทรมานจากบาปหรือความชั่วที่ตัวเองได้ทำไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
เหตุผลที่ทุกศาสนามีความเชื่อในเรื่องดังกล่าวก็เพราะศาสนาต้องการปฏิรูปมนุษย์โดยการให้รางวัลตอบแทนแก่ผู้ทำความดีและยับยั้งมนุษย์ไม่ให้ทำความชั่วนั่นเอง
เมื่อนบีมุฮัมมัดนำความจริงที่ไม่สามารถสัมผัสด้วยประสาททั้งห้ามาบอกกล่าวชาวเมืองมักก๊ะฮฺ ท่านได้ถูกบรรดาหัวหน้าชาวเมืองต่อต้าน เพราะคนเหล่านี้มีอำนาจและมีฐานะ จึงมักใช้อำนาจและฐานะของตนทำบาปตามอารมณ์ เมื่อได้ยินเรื่องนี้หัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺจึงรู้สึกว่าตัวเองถูกตำหนิ และเกิดความไม่พอใจเหมือนกับข้าราชการชั้นสูงถูกเปิดโปงการทุจริต
ก่อนหน้านี้ชาวอาหรับไม่เชื่อในเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย และโต้แย้งนบีมุฮัมมัดว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เนื้อหนังและกระดูกที่ยุ่ยสลายกลายเป็นธุลีแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนอีกครั้งหนึ่ง บางคนแสดงกิริยาหยาบคายโดยการบี้กระดูกสัตว์ผุๆขว้างใส่ท่าน หรือไม่ก็ใช้มือกอบฝุ่นขึ้นมาเป่าไปยังท่าน
ด้วยเหตุนี้ในคัมภีร์กุรอานจึงมีข้อความเปรียบเทียบที่อธิบายถึงกระบวนการฟื้นคืนชีพมากมายหลายตอน ซึ่งหนึ่งในนั้นเราสามารถเข้าใจได้ทันที เช่น
“และพระองค์คือผู้ทรงส่งลมมาเป็นเสมือนผู้แจ้งข่าวดีถึงความเมตตาของพระองค์ เมื่อมันรวมกันเป็นเมฆหนา เราได้ทำให้มันเคลื่อนที่ไปสู่แผ่นดินที่แห้งแล้งและทำให้ฝนตกลงมาบนแผ่นดินนั้น แล้วเราได้ทำให้ผลไม้หลากชนิดออกมาจากมัน ในทำนองนี้แหละที่เราได้ทำให้คนตายออกมาจากสภาพแห่งความตาย ทั้งนี้ เพื่อที่สูเจ้าจะได้รับบทเรียนจากมัน” (กุรอาน 7:57)
ถ้าหากเปรียบมนุษย์เป็นเสมือนน้ำที่อยู่ในหนองบึงและทะเล น้ำถูกแสงแดดแผดเผากลายสภาพเป็นไอไปรวมกันเป็นก้อนเมฆ เปรียบเสมือนวิญญาณของมนุษย์ถูกดึงออกจากร่างไปรวมกันที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาก้อนเมฆนั้นก็จะกลายเป็นน้ำอีกครั้งหนึ่งในรูปของฝน
การฟื้นคืนชีพหลังความตายในสภาพที่เหมือนเดิมจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ
You must be logged in to post a comment Login