วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

บุรุษลึกลับ / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On January 1, 2018

คอลัมน์ : ร้ายสาระ

ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

เหตุการณ์คนหายตัวลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเงื่อนงำหรือเบาะแสแม้แต่น้อยว่าพวกเขาหายไปไหน เป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนมากพออยู่แล้ว ในทางตรงกันข้ามบุรุษลึกลับที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครมาจากไหนสร้างความฉงนงงงวยให้ผู้คนได้ไม่แพ้กัน

การปรากฏตัวของบุรุษลึกลับเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา หนึ่งในเรื่องราวที่มีบันทึกเป็นหลักฐานเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 1863 ขณะที่เด็กชายวัย 8 ขวบคนหนึ่งเดินเล่นอยู่บนชายหาดใกล้กับหมู่บ้านดิ๊กบี้เน็ก รัฐโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งนอนตะเกียกตะกายที่ริมโขดหิน

ที่ต้องนอนตะเกียกตะกายบนผืนทรายก็เพราะเขาไร้ขาทั้งสองข้าง อันเป็นเหตุให้เกิดความกังขาข้อแรกว่าเขามาอยู่บนชายหาดได้อย่างไรทั้งๆที่ไม่มีขา เด็กชายพยายามเข้าไปถามไถ่ให้ความช่วยเหลือ แต่ชายลึกลับกลับแสดงท่าทางงงงวย ไม่เข้าใจภาษา เด็กชายจึงรีบวิ่งกลับบ้านเพื่อตามผู้ใหญ่ให้มาช่วย

ชายลึกลับไม่สามารถสื่อสารภาษาใดๆได้เลยนอกจากส่งเสียงคำรามในลำคอคล้ายสัตว์ป่า เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจากอาการถูกแดดลมแผดเผา แพทย์ตรวจสอบรอยแผลที่ขาพบว่าเขาเพิ่งถูกตัดขาเมื่อไม่นานมานี้เอง บาดแผลยังปิดไม่สนิท มีเลือดไหลซึมออกมาเป็นระยะๆ

อย่างไรก็ตาม รอยตัดเรียบเหมือนกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งนั่นหมายความว่าเป็นการจงใจตัดขาเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง แต่ผู้เคราะห์ร้ายไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมเขาจึงถูกตัดขาทั้งสองข้าง

สอนไม่จำ

หลังออกจากโรงพยาบาล ชายลึกลับถูกส่งตัวไปอยู่กับนักภาษาศาสตร์ ฌอง นิโคลา เพื่อสอนให้เขาเรียนรู้การสื่อสารด้วยภาษา เขาถูกตั้งชื่อให้ว่า “เจโรม” ต่อมารู้จักกันในชื่อ “เจโรมแห่งแซนดี้โคฟ” ซึ่งเป็นชื่อชายหาดที่เด็กชายพบเขาเป็นครั้งแรก

ฌองพยายามฝึกสอนเจโรมให้พูดอยู่หลายปีแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาเอาแต่คำรามในลำคอเพียงอย่างเดียว ในที่สุดเขาถูกย้ายให้ไปอยู่กับครอบครัวโคโมที่เมืองเซนต์อัลฟอนเซ ซึ่งเขาใช้เวลาตลอดชีวิตที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1912 โดยไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้เลยแม้แต่คำเดียว

เฟรเชีย มูนีย์ จูเนียร์ นักประวัติศาสตร์ชาวแคนาดา ตั้งทฤษฎีว่าเจโรมเป็นผู้ป่วยทางสมอง และเป็นคนอพยพย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในเมืองนิวบรันสวิก เจโรมไปพัวพันกับแก๊งอันธพาลทำให้ถูกจับตัดขาแล้วนำร่างมาทิ้งที่ชายหาดแซนดี้โคฟจนกระทั่งมีคนมาพบ

อีกทฤษฎีสันนิษฐานว่าเจโรมเป็นลูกเรือเดินทะเลลำใดลำหนึ่ง เขาพยายามก่อกบฏยึดเรือแต่ล้มเหลว จึงถูกลงโทษด้วยการตัดขาแล้วโยนร่างทิ้งทะเลก่อนที่คลื่นจะซัดร่างมาเกยชายหาดแซนดี้โคฟ บางคนก็บอกว่าเจโรมเป็นทายาทเศรษฐี เขาถูกลอบทำร้ายเพื่อให้มรดกตกไปอยู่กับทายาทลำดับต่อไป แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน ไม่มีใครรู้ว่าเจโรมเป็นใครมาจากไหนและทำไมจึงถูกตัดขา

พรานบ้า

บุรุษลึกลับคนต่อมาปรากฏตัวขึ้นในแคนาดาเช่นเดียวกัน 20 ปีหลังจากเจโรมแห่งแซนดี้โคฟเสียชีวิต ปี 1931 ชายลึกลับอีกคนปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านฟอร์ตแมคเพียร์สัน ดินแดนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะเกือบทั้งปี

ชายลึกลับสร้างกระท่อมชายป่าริมแม่น้ำแรต ไม่สุงสิงกับคนในหมู่บ้าน หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพรานดักสัตว์ป่า ไม่มีใครรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใครมาจากไหน จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่า “พรานบ้าแห่งแม่น้ำแรต”

หลังจากชายลึกลับปรากฏตัวขึ้นไม่นาน พรานคนอื่นๆก็พบว่าสัตว์ที่พวกตนตั้งกับดักไว้หายไปหลายครั้งหลายครา พวกเขาเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของพรานบ้าแห่งแม่น้ำแรตอย่างแน่นอนจึงแจ้งเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยตำรวจภูเขา

วันที่ 26 ธันวาคม 1931 ตำรวจภูเขา อัลเฟรด คิง และโจ เบอร์นาร์ด แกะรอยไปจนถึงกระท่อมที่พักของพรานบ้า ตำรวจแสดงเจตนารมณ์ขอเข้าตรวจค้นแต่พรานบ้าไม่ยินยอมให้ตำรวจเข้าค้น แถมยังเอากระสอบมาบังที่ช่องหน้าต่างไม่ให้ตำรวจมองเข้ามา ตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นจึงเดินทางกลับเพื่อขอหมายค้นจากศาล

สู้แค่ตาย

5 วันต่อมา อัลเฟรด, โจ และตำรวจอีก 2 นาย เดินทางกลับมาที่กระท่อมพรานบ้าพร้อมกับแสดงหมายค้น แต่พรานบ้าก็ยังยืนกรานไม่ยอมให้เข้าตรวจค้น ตำรวจพยายามใช้กำลังพังประตูกระท่อมแต่ถูกพรานบ้ายิงปืนสวนออกมาจนเกิดการยิงปะทะกัน ก่อนที่อัลเฟรดจะพลาดท่าถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ ตำรวจจึงถอนกำลังเพื่อนำตัวอัลเฟรดไปรักษาพยาบาล

9 วันถัดมา กำลังตำรวจ 9 นายพร้อมสุนัขล่าและระเบิดไดนาไมต์ 9 กิโลกรัม กลับมายังกระท่อมพรานบ้า และเป็นที่น่าประหลาดใจมากที่หลังจากยิงตำรวจจนได้รับบาดเจ็บเมื่อคราวก่อน พรานบ้าก็ไม่ได้หนีไปไหน ยังคงอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเดิม

และเช่นเคย พรานบ้ายิงปืนสกัดไม่ให้กำลังตำรวจเข้ามาใกล้ คราวนี้เกิดการยิงปะทะกันกินเวลายาวนานกว่า 15 ชั่วโมงท่ามกลางอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ -40 องศาเซลเซียส ในที่สุดตำรวจตัดสินใจใช้ระเบิดถล่มกระท่อมจนพังราบเป็นหน้ากลอง แต่เหลือเชื่อมากๆที่พรานบ้าไม่ได้รับบาดเจ็บแถมยังหลบหนีเข้าป่าไปได้อย่างลอยนวล ขณะที่นายตำรวจเอ็ดการ์ มิลเลน ถูกลูกกระสุนเสียชีวิต

ตำรวจถอนกำลังกลับมือเปล่าอีกครั้ง หลายวันต่อมาตำรวจตามแกะรอยจนพบว่าพรานบ้าหลบหนีขึ้นเขาริชาร์ดสัน จึงขอความช่วยเหลือจากนักบินว็อบ เมย์ ให้ช่วยนำเครื่องบินเล็กขึ้นสำรวจหาเส้นทางหลบหนีจากทางอากาศ

พรานบ้าสิ้นลาย

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1932 ว็อบพบร่องรอยการตั้งแคมป์ที่ริมแม่น้ำอีเกิ้ล ตำรวจจึงส่งกำลังไปปิดล้อมพื้นที่ ในที่สุดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ก็พบพรานบ้าที่กลางแม่น้ำซึ่งความหนาวเย็นทำให้กลายเป็นน้ำแข็ง การปะทะกันอย่างดุเดือดเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้พรานบ้าหมดโชค เขาถูกตำรวจสังหารที่กลางแม่น้ำอีเกิ้ล

ตำรวจพบว่าพรานบ้าเดินเท้าหลบหนีท่ามกลางหิมะหนาและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ แถมบางช่วงบางตอนต้องปีนขึ้นเขาที่สูงชันเป็นระยะทาง 137 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น

ตำรวจตั้งชื่อพรานบ้าคนนี้ว่า อัลเบิร์ต จอห์นสัน แต่มันเป็นเพียงชื่อสมมุติเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าตัวตนจริงๆของเขาคือใคร ตลอดระยะเวลาการเผชิญหน้า พรานบ้าไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว นอกจากตอนที่เขาลั่นกระสุนสังหารนายตำรวจเอ็ดการ์ เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

วันที่ 11 สิงหาคม 2007 ทีมชันสูตรทำการขุดโครงกระดูกของพรานบ้าขึ้นมาจากหลุมเพื่อตรวจดีเอ็นเอค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขาอีกครั้ง พบว่าพรานบ้าคนนี้น่าจะเป็นชาวตะวันตกตอนกลางของอเมริกาหรือไม่ก็ชาวสแกนดิเนเวีย แต่เขาจะเป็นใครและอะไรเป็นสาเหตุทำให้เขาอพยพไปอยู่โดดเดี่ยวตามลำพังกลางป่าในแคนาดานั้นไม่สามารถระบุได้ ยังคงเป็นปริศนาไปอีกนานหลายปี


You must be logged in to post a comment Login