วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

อุ้มกันจนพัง

On January 16, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

กรณีนาฬิกาหรูกำลังเป็นไฟลามทุ่งที่ทำท่าว่าจะเอาไม่อยู่หากไม่รีบตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง การยิ่งเฉยไม่ใช่คำตอบที่ดีสำหรับเรื่องนี้ ยิ่งนิ่งเฉยยิ่งเสียหายและไม่ได้เสียหายเฉพาะเจ้าของนาฬิกาแต่พากันเสียหายไปทั้งหมด เสียหายทั้งวันนี้และเสียหายไปถึงแผนงานในอนาคตที่วางเอาไว้ เมื่อมองไปถึงมาตรฐานการใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งให้โยกย้ายข้าราชการหรือพักงานผู้บริหารท้องถิ่นที่ถูกตรวจสอบทุจริตก่อนหน้านี้ จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ “บิ๊กตู่” ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง หากยังรูปหน้าปะจมูกอุ้มกันต่อไปจะพากันพังไปทั้งหมด

กรณีนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่าจะไปกันใหญ่หากไม่รีบจบเรื่องนี้ อาจส่งผลให้สถานะของรัฐบาลทหารคสช.ที่ว่ามั่นคงแข็งแรงพังครืนลงมาได้

ที่เป็นเช่นนี้เพราะความนิ่งสงบไม่สามารถใช้สยบความเคลื่อนไหวที่มีมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างที่ควรจะเป็น

การที่ “บิ๊กป้อม” เล่นบทเตมีย์ใบ้ไม่ยอมชี้แจงให้เกิดความกระจ่างอาจเพราะไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืดแต่ดูเหมือนไม่ได้ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา

ความจริงเรื่องนี้จะจบง่ายหากไม่ปรากฎภาพถ่ายของ “บิ๊กป้อม”คู่กับนาฬิกาหรูที่ทะลุไปกว่า 20 เรือน ซึ่งรวมมูลค่าหลายสิบล้านบาท

กระแสกดดันเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับ “บิ๊กป้อม” เพียงคนเดียวแต่ยังพุ่งตรงเข้าใส่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประวิตร จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วย

ทั้งนี้เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ความจริงจังในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลทหาร คสช.

แน่นอนว่าถึงตอนนี้ไม่มีใครชี้ชัดหรือสรุปว่า “บิ๊กป้อม” ทุจริตหรือไม่ แต่การนิ่งเงียบไม่เคลียร์ที่มาที่ไปของนาฬิกาหรู หรือไม่แม้จะปฏิเสธว่าภาพถ่ายที่ออกมาไม่ใช่ของจริงเป็นการตัดต่อเพื่อใส่ร้ายยิ่งทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยและตั้งคำถาม

กรณีนี้จะโดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่เพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้

จึงทำให้กระแสเรียกร้องให้พักงาน “บิ๊กป้อม” เริ่มดังกระหึ่มขึ้นมาเรื่อยๆจากคนทุกวงการ

จริงไม่จริง ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่การนำเรื่องตรวจสอบนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” ไปเชื่อมโยงกับการปรับแก้กฎหมายป.ป.ช.ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นกรรมการป.ป.ช. เพื่ออุ้มให้กรรมการป.ป.ช.ชุดปัจจุบันเกินกว่าครึ่งที่มีมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามได้นั่งเป็นกรรมการป.ป.ช.ต่อไปจนกว่าจะครบวาระ 9 ปี ไม่ต้องสรรหาใหม่เหมือนองค์กรอิสระอื่นมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะเมื่อมองไปถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช.กับ “บิ๊กป้อม” ที่เคยเป็นเจ้านาย ลูกน้องกันมาก่อนที่พล.ต.อ.วัชรพล จะได้มาเป็นกรรมการป.ป.ช.

เมื่อกระแสสังคมไปในทางนี้แล้วการนิ่งเฉยจึงไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เพราะยิ่งนิ่งเฉยจะยิ่งเกิดความเสียหายลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและผู้นำรัฐบาล

เมื่อมองไปถึงการใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งให้โยกย้ายข้าราชการหรือพักงานผู้บริหารท้องถิ่นที่ถูกตรวจสอบทุจริตก่อนหน้านี้ จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ “บิ๊กตู่” ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

หากยังรูปหน้าปะจมูกอุ้มกันต่อไปจะพากันพังไปทั้งหมด

พังทั้งวันนี้และพังทั้งอนาคตที่วางกันเอาไว้ หากเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้จะทำให้การจะเข้ามาเป็นนายกฯคนนอกหลังเลือกตั้งต้องออกแรงเหนื่อยนมากขึ้น และเรื่องนี้จะเป็นแผลให้ถูกโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือทั้งช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง

ทางออกเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้คือใช้มาตรฐานเดียวกับที่ใช้กับข้าราชการและผู้บริหารท้องถิ่นคือพักงานรอการตรวจสอบ ถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากแค่ไหนก็จำเป็นต้องทำ

ไฟกำลังลามทุ่งต้องรีบดับ

ถ้าไม่รีบตัดไฟต้นลมก็คงถูกเผาไหม้ไปด้วยกันทั้งหมด


You must be logged in to post a comment Login