- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
จุดติดหรือไม่
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
สถานการณ์การเมืองพัฒนามาถึงจุดที่เรียกได้ว่ามีเชื้อไฟมากพอที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหว และจากนี้ไปน่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวต่างๆจากหลายฝ่ายมากขึ้น มีการตั้งคำถามต่อการใช้อำนาจมากขึ้น ในทางกลับกันฝ่ายรัฐบาลทหารคสช. แม้จะมีอำนาจในมือเหมือนเดิมแต่จะเริ่มถูกตั้งคำถามทุกครั้งที่มีการใช้อำนาจ ขณะที่การอธิบายก็ลดน้ำหนักความน่าเชื่อถือลงไปค่อนข้างมาก เมื่อเชื้อไฟมีพร้อม คนจุดไฟก็พร้อม ที่เหลือก็รอลุ้นอย่างเดียวว่าจะ “จุดติด” หรือไม่เท่านั้น
สถานการณ์การเมืองหลังจากนี้เชื่อว่าจะทวีความร้อนแรงขึ้นเป็นระยะ เรียกได้ว่ามาถึงจุดที่จะมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่างๆมากขึ้น
ที่เป็นอย่างนี้เพราะมีหลายปัจจัยที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนาฬิกาหรู “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทั้งต่อเรื่องนาฬิกาหรูและเรื่องเลื่อนบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งออกไปอีก 90 วันหลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งทีมลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจประชาธิปไตยไทยนิยม ติดตามข้อมูลประชาชนเพื่อนำมาแก้ไขปัญหา ซึ่งถูกมองว่าเป็นทีมหาเสียงล่วงหน้าก่อนเลือกตั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่สังคมให้ความสนใจ ที่ยังไม่สามารถลบภาพความมีสองมาตรฐานลงไปได้
ไม่ว่าจะเป็นผลสำรวจของสำนักโพลต่างๆ ที่เริ่มปรากฎผลในทางไม่นิยมชมชอบรัฐบาลทหารคสช.มากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกรณีที่รวมๆกันแล้วถือได้ว่าเป็นเชื้อไฟชั้นดีทางการเมือง
เมื่อมีเชื้อไฟพร้อมแล้วเป็นธรรมดาย่อมจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อก่อให้เกิดประกายไฟตามมา โดยหวังว่าจะมีสะเก็ดไฟสักลูกกระเด็นไปโดนเชื้อไฟจนจุดติด
จากนี้ไปโอกาสที่จะได้เห็นความเคลื่อนไหวในเชิงท้าทายอำนาจรัฐบาลคสช.มากขึ้น
ทั้งการเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม การเคลื่อนไหวในส่วนตัวบุคคล และการเคลื่อนไหวในเชิงสัญญลักษณ์ โดยเฉพาะแนวรบด้านไซเบอร์ที่จะทำให้เกิดปรากฎการณ์โซเชียล มูฟเมนต์
แน่นอนว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่มีความแตกต่างหลากหลายในกลยุทธ วิธีการ แต่จะมุ่งไปในมิศทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน
เข้าตำราแยกกันเดิน ร่วมกันตี
ขณะที่รัฐบาลทหารคสช.แม้จะมีพลังอำนาจล้นมือ แต่น่าจะทำได้แค่ตั้งรับและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นเรื่องๆไป
ชั่วโมงนี้สถานการณ์ต่างไปจากวันที่เข้ามายึดครองอำนาจใหม่ๆที่ใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ ไม่มีคนค้าน ไม่มีคนตั้งคำถาม
แต่วันนี้การใช้อำนาจทุกครั้งจะเริ่มมีคนตั้งคำถามมากขึ้น
ที่สำคัญคำถามจะไม่ได้ออกมาจากฝั่งที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามเพียงอย่างเดียวเหมือนตอนยึดอำนาจใหม่ๆ แต่จะมีคำถามออกมาจากฝั่งที่เคยให้การสนับสนุนและคนกลางๆ ด้วย
แน่นอนว่าคำถามจากคนที่เคยให้การสนับสนุนและคนกลางๆ จะไปเพิ่มน้ำหนักให้กับคำถามและการเคลื่อนไหวของคนที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหารคสช.อย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้รัฐบาลทหารคสช.จะยังต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องความน่าเชื่อมากขึ้น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเลื่อนกำหนดเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลายครั้ง
แม้จะพยายามอธิบายในหลักการว่าเป็นเรื่องของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีหน้าที่ออกกฎหมาย แบ่งแยกอำนาจแล้ว ไม่ก้าวก่าย ไม่แทรกแซง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลทหารคสช. โดยย้ำว่ามีการเลือกตั้งแน่นอนภายใน 150 วันตามรัฐธรรมนูญกำหนดเมื่อกฎหมายลูกออกมามีผลบังคับใช้ครบ 10 ฉบับ
แต่น้ำหนักความเชื่อถือของหลักการที่ยกมาใช้อธิบายเริ่มมีปัญหาเมื่อมองย้อนไปถึงการเลื่อนเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองย้อนไปถึงที่มาของ สนช.ว่าใครเป็นผู้คัดเลือก ใครเป็นผู้แต่งตั้ง
เชื้อไฟมีพร้อม
คนจุดไฟก็พร้อม
ที่เหลือก็รอลุ้นอย่างเดียวว่าจะ “จุดติด” หรือไม่เท่านั้น
You must be logged in to post a comment Login