วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ถ้ายังมีวิญญาณศาสนาไม่มีวันถูกทำลาย / โดย บรรจง บินกาซัน

On January 29, 2018

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ศาสนาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตของบุคคลและเป็นกรอบกติกาของสังคม กรอบกติกาของศาสนาจึงเป็นกรอบของศีลธรรมที่ทำหน้าที่ปกป้องบุคคลและสังคมไม่ให้ได้รับความหายนะ แต่บุคคลหรือคนบางกลุ่มเห็นศาสนาเป็นอุปสรรคต่อผลประโยชน์ของตนจึงคิดหาทางทำลายมาตั้งแต่อดีต

การยอมพลีชีพเพื่อศาสนาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาไม่อาจถูกทำลายได้โดยการใช้กำลัง ดังนั้น การทำลายศาสนาจึงทำจากภายใน เช่น การใช้ประโยชน์จากความเสื่อมเสียของบุคลากรทางศาสนา การบิดเบือนคำสอนและการทำลายหลักความเชื่อในศาสนา

หลังจากคริสตจักรแตกออกเป็น 2 ส่วน ยุโรปได้เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชาติต่างๆในยุโรปได้ใช้เครื่องจักรกลและประดิษฐกรรมทางอาวุธเข้ายึดครองชาติต่างๆเป็นอาณานิคมของตน

เนื่องจากชาติยุโรปที่เจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นชาติที่แยกตัวออกมาจากศาสนา ดังนั้น เมื่อชาติเหล่านี้เข้ามายึดครองชาติต่างๆในโลกตะวันออกซึ่งเป็นชาติที่มีศาสนาเป็นสรณะในการดำเนินชีวิต ชาติตะวันตกจึงมองว่าชาติตะวันออกล้าหลัง เพราะยังจมปลักอยู่กับศาสนา ทัศนคติของชาวตะวันตกต่อชาติตะวันออกเช่นนี้คือที่มาของคำว่า “บูรพคดีศึกษา” (Orientalism)

แรงจูงใจสำคัญของการล่าอาณานิคมคือการแสวงหาทรัพยากรและการระบายสินค้าจากยุโรป เมื่อไปยึดครองประเทศใดชาตินักล่าอาณานิคมมักเอาวัฒนธรรมโลกนิยม (Secularism) ของตนไปใช้กับประเทศนั้น จึงถูกต่อต้านจากประชาชนที่ยังคงมีความเคร่งครัดในความเชื่อทางศาสนา

เมื่อการล่าอาณานิคมในแผ่นดินตะวันออกของชาติยุโรปถูกต่อต้านจากเจ้าของแผ่นดินชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ชาติยุโรปจึงหาทางที่จะทำลายความคิดความเชื่อของผู้คนในประเทศนั้น โดยการส่งคนรุ่นใหม่ไปศึกษาในชาติตะวันตกเพื่อให้ซึมซับรับเอาแนวความคิดและวัฒนธรรมตะวันตก เมื่อจบการศึกษากลับมาแล้ว นักศึกษาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนให้ไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆในทางสังคมและการเมือง

การศึกษาของนักบูรพคดีชาวตะวันตกทำให้ชาติตะวันตกรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้ชาติมุสลิมในตะวันออกแข็งแกร่งคือหลักความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และในการญิฮาดหรือการต่อสู้แบบพลีชีพเพื่อรักษาศาสนา ดังนั้น ชาติตะวันตกจึงหาทางบ่อนทำลายความเชื่อดังกล่าว

ชาวตะวันตกค้นพบกฎธรรมชาติและยอมรับว่าปรากฏการณ์ต่างๆเกิดขึ้นภายใต้กฎธรรมชาติ ดังนั้น นักบูรพคดีจึงพยายามอธิบายความมหัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในคำสอนของคัมภีร์ทางศาสนาว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มิได้เป็นอำนาจของพระเจ้าแต่ประการใด เช่น ในตอนที่โมเสสพาลูกหลานอิสราเอลข้ามทะเลอพยพหนีการไล่ล่าของฟาโรห์ นักบูรพคดีตะวันตกอธิบายว่า โมเสสรู้ว่าน้ำทะเลจะลดลงเมื่อใด ตรงไหน ที่จะทำให้ลูกหลานอิสราเอลข้ามไปได้ มิใช่ปาฏิหาริย์จากพระเจ้าดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานแต่ประการใด

นี่คือการทำลายความน่าเชื่อถือในพระเจ้าที่ผู้ศรัทธาในพระเจ้าไม่อาจยอมรับได้ เพราะผู้ศรัทธาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างกฎ และพระเจ้ามิได้อยู่ภายใต้กฎที่พระองค์ทรงสร้างมา ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ที่สร้างสุ่มหรือกรงให้ไก่อยู่ แต่มนุษย์เองมิได้อยู่ในสุ่มหรือกรงไก่

ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์  ดาร์วิน ก็ถูกนำมาใช้เพื่อทำลายความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์

อังกฤษถูกมุสลิมในชาติต่างๆต่อต้านอย่างหนัก และนักล่าอาณานิคมอย่างอังกฤษรู้ดีจากนักบูรพคดีของตนว่าสิ่งที่ทำให้มุสลิมต่อต้านอังกฤษอย่างยอมเอาชีวิตเข้าแลกคือหลักคำสอนเรื่องการญิฮาด ดังนั้น อังกฤษจึงหาทางที่จะทำให้ชาวมุสลิมเชื่อว่าการญิฮาดได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และอังกฤษก็ได้ผู้ช่วยเหลือตนในเรื่องนี้เมื่อชาวอินเดียคนหนึ่งชื่อ มิรฺซา ฆุลาม อะหมัด ประกาศว่าตนเป็นผู้ปฏิรูปอิสลามหลังสมัยนบีมุฮัมมัด เขาตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิและประกาศว่าการญิฮาดได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และมีหลายคนหลงเชื่อจนเป็นสาวกของเขา

เนื่องจากต้นกำเนิดของลัทธิใหม่นี้เกิดขึ้นที่เมืองกอดิยานในปากีสถาน คนที่นับถือลัทธิใหม่นี้จึงได้ชื่อว่ากอดิยานีย์ คำสอนหลายอย่างของมิรฺซา ฆุลาม อะหมัด ขัดกับคำสอนดั้งเดิมของอิสลาม ดังนั้น มติของนักวิชาการมุสลิมทั่วโลกจึงถืงว่ากอดิยานีย์มิใช่มุสลิม และรัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ออกวีซ่าฮัจญ์ให้แก่คนเหล่านี้


You must be logged in to post a comment Login