วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

R.I.P. แด่คนดีที่เลอะเทอะ / โดย ทีมข่าวการเมือง

On January 29, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

“อยากทำความเข้าใจว่า หลายท่านอยากให้ผมใช้คำสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่า ที่ผ่านมาผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทำก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้วและมีผลออกมาเช่นนี้เห็นควรให้เอาออกก่อน ผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกัน ก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช. จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทำไมผมไม่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น

ที่สำคัญทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมายซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านำ 2 เรื่องมาปนกัน ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทำให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจนก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมไป”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (23 มกราคม) กรณี “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยขอให้ฟังจากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งจะมีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าการดำเนินการไปถึงไหนอย่างไร หลายคนไปกล่าวอ้างว่ามาจากการทุจริตที่ไหนอย่างไรก็ต้องมีการสอบสวนกันต่อ จึงต้องรอให้ได้ข้อยุติก่อน

ส่วนการที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจและนำไปเปรียบเทียบมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้นำหรือนักการเมืองในต่างประเทศนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอชี้แจงกับคนไทย คงไม่ต้องชี้แจงกับต่างประเทศ เพราะทุกอย่างมาจากคนไทยที่ขับเคลื่อนออกไป ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเองไปแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ยังยืนยันว่า ตนไม่ได้ปกป้องหรือปิดบังอะไรเลย เป็นเรื่องของกระบวนการตรวจสอบ ก็ขอให้ฟังจากทาง ป.ป.ช. “ถ้าผิดก็คือผิด ท่านก็รับอยู่แล้วว่าถ้าผิดก็ต้องออกอยู่ดี ก็ไปว่ากันตามกฎหมาย แต่ขอให้แยกแยะให้ออกว่าอันไหนใช้งบประมาณของรัฐ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านต้องไปแก้ไขในเรื่องส่วนตัวของท่านในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระให้ได้เท่านี้ดีกว่า”

ป.ป.ช. แถลงสรุปเรื่องนาฬิกาว่ายังไม่สรุป

ขณะที่ ป.ป.ช. ได้แถลงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประวิตร (24 มกราคม) โดยนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า นาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรเริ่มต้นจาก 1 เรือน จนมี 25 เรือนที่ปรากฏตามสื่อ ป.ป.ช. จึงต้องตรวจสอบว่ามีทรัพย์สินอยู่จริงหรือไม่ พล.อ.ประวิตรได้ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินเมื่อเดือนกันยายน 2557 จากการตรวจสอบเบื้องต้นคนที่รู้เรื่องดีที่สุดคือคนที่สวมใส่ โดย พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่าไม่ใช่นาฬิกาของตน ป.ป.ช. ต้องตรวจสอบนาฬิกาถึง 25 เรือนตามข้อมูลจากภาพ ซึ่งบางภาพเห็นชัดเจน บางภาพเห็นแต่สายนาฬิกา ต้องตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง และมีการตรวจสอบพยานบุคคลเกือบหมดแล้ว เหลือเพียง 1 รายที่เป็นพยานสำคัญซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ จะเดินทางกลับในสัปดาห์หน้า รวมทั้งตรวจสอบที่ตัวแทนจำหน่ายด้วย ต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง คาดว่าเรื่องนี้จะแล้วเสร็จเดือนกุมภาพันธ์นี้

นายวรวิทย์กล่าวว่า หากนาฬิกาหรูนี้ไม่ใช่ของ พล.อ.ประวิตรก็ไม่ต้องแจ้งในบัญชีแสดงทรัพย์สิน เพราะการแสดงรายการทรัพย์สินต้องแสดงรายการทรัพย์ของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตามที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม นายวรวิทย์ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลอื่นๆที่ผู้สื่อข่าวถาม เช่น นาฬิกาที่ปรากฏในภาพเป็นของใคร การให้กับการให้ยืมถือเป็นการได้รับประโยชน์อื่นใดตามมาตรา 103 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริตหรือไม่ และไม่ขอเปิดเผยว่ามีการสอบพยานปากไหน

ส่วน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาสำนวนการตรวจสอบทรัพย์สินคดีนี้

เลื่อนเลือกตั้งเพราะคำสั่ง คสช.

กรณี “นาฬิกาหรู” น่าจะเห็นแนวโน้มแล้วว่าผลจะออกมาอย่างไรหาก พล.อ.ประวิตรพิสูจน์ได้ว่าเป็น “นาฬิกาเพื่อน” ทั้งหมด แต่ผลการตรวจสอบของ ป.ป.ช. จะทำให้สังคมเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขณะที่อีกประเด็นทางการเมืองที่ร้อนระอุและกระทบต่อรัฐบาล คสช. และพล.อ.ประยุทธ์ไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ กรณีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีมติแก้ไขเนื้อหาของร่างกฎหมายให้มีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน จากเดิมที่กำหนดให้บังคับใช้ทันที ซึ่งส่งผลให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่ง นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีการส่งซิกใดๆ แต่การขยายเวลา 90 วันเนื่องจากมีความจำเป็น เพราะการประชุมใหญ่พรรคการเมืองจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 57/2557 ที่ห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่องการห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ถ้าประชุมพรรคไม่ได้ก็ไม่สามารถดำเนินการขั้นตอนระบบไพรมารีโหวต การส่งผู้สมัคร การได้รับเงินทุนสนับสนุนพรรคการเมืองได้ ซึ่งขั้นตอนต่างๆต้องใช้เวลาดำเนินการมาก ยังไม่รวมขั้นตอนการประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช. จึงมีความจำเป็นต้องขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วัน เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถเตรียมตัวได้ทัน

นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. อ้างว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ได้คัดค้าน แต่กังวลบ้างเกี่ยวกับเรื่องของข้อกฎหมายที่อาจจะไปขัดหรือลิดรอนสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น และเหตุผลบางอย่างที่มีความจำเป็นก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ทั้งหมด

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็ปฏิเสธว่าไม่มีใบสั่ง แต่เป็นการทำงานของ สนช. ซึ่งต้องตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายประชุมร่วมกันในเรื่องนี้

“สมชัย” แนะปลดล็อกการเมืองให้นายกฯเลิกเดินสายหาเสียง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง เห็นว่าข้อเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป 90 วัน ที่อ้างว่าเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองและเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรมนั้น เป็นตรรกะที่แปลกมาก ทั้งที่แค่ปลดล็อกพรรคการเมืองให้สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตั้งแต่วันนี้ก็หมดปัญหาแล้ว ไม่ใช่ไปสัญญาลมๆแล้งๆว่าจะปลดล็อกเดือนเมษายนและให้ทำกิจกรรมต่างๆอย่างเร่งรีบ

“ปลดล็อกเสียวันนี้กว่าจะถึงเมษาฯก็ได้เวลาคืนมาเกือบ 3 เดือน และหากตรงไปตรงมาให้พรรคสามารถทำกิจกรรมได้ตั้งแต่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 8 ตุลาคมปีที่แล้ว ก็คงไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากขนาดนี้”

นายสมชัยยังกล่าวว่า หากต้องการทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างยิ่งคือ ต้องไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการสรรหา กกต.ใหม่ ไม่ส่งคนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ใน กกต.ชุดใหม่ ไม่ออกกฎกติกาที่สร้างความได้เปรียบแก่คนของตนเองหรือพรรคที่ประกาศว่าจะสนับสนุนตน สิ่งที่ดีที่สุดคือนายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ประกาศว่าพร้อมจะกลับมาใหม่หากประชาชนสนับสนุน และเลิกทำตัวเป็นนักการเมืองเดินสายหาเสียง เพราะสิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยากที่จะบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐและกลไกราชการสนับสนุนทำให้เกิดความได้เปรียบในการเลือกตั้ง

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงคำแนะนำของนายสมชัยเพียงว่า ให้นายสมชัยไปเตรียมงานแต่งงานดีกว่า แล้วขออวยพรให้มีความสุข

ปชป. อัด สนช. ทาสรับใช้เผด็จการ

ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ให้ทีมกฎหมายยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่ เพราะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสร้างภาระโดยไม่จำเป็นทำให้เดือดร้อน ซึ่งรัฐธรรมนูญให้สิทธิคุ้มครอง ทั้งคำสั่งนี้ยังถือว่าสองมาตรฐานที่ให้พรรคใหม่เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่และรับสมาชิกเดิมจากพรรคเก่าได้ แต่พรรคเก่าไม่สามารถเปิดรับสมาชิกใหม่ได้

นายวัชระ เพชรทอง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ถาม สนช. ที่บอกว่าไม่มีใบสั่งจาก คสช. นั้น สนช. มีความสุขกับการได้รับใช้เผด็จการทหาร สังเกตได้ว่าในชีวิตแต่ละคนไม่มีใครเคยได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเลยสักครั้ง หากเป็นนักการเมืองก็สอบตกซ้ำซาก ถ้าเป็นนักวิชาการก็ประเภทเกาะลูกศิษย์นายพลมามีตำแหน่ง บางคนทั้งชีวิตมีตำแหน่งเพราะทหารยึดอำนาจ จึงภักดีกับผู้ให้ตำแหน่งมากกว่าประชาชนผู้เสียภาษีอากรทั้งประเทศ

“ร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะขยายเวลาอีก 90 หรือ 120 วัน แถมจะให้มีมหรสพมาแสดงได้ ล้วนตอบสนองต่อพรรคทหารและเป็นประโยชน์ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ผู้มีอำนาจทั้งสิ้น ขนาด กกต. คัดค้านการแสดงมหรสพ แต่ สนช. ไอ้ห้อยไอ้โหนก็ยังดันทุรังทำตามประสาพวกเมาอำนาจในปีสุดท้าย ผมได้แต่หวังว่า สนช. ที่ดีมีคุณธรรมจะได้อภิปรายคัดค้านฝากไว้ในแผ่นดิน”

นายวัชระยังกล่าวว่า สนช. ที่กำลังสร้างตราบาปให้กับประเทศชาติก็ปล่อยให้ทำไป ความมัวเมาในอำนาจลาภยศสรรเสริญ ฝันถึง ส.ว.สมัยหน้า ก็ขอให้ได้รับผลกรรมทันตาเห็นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อไปในอนาคต เพราะวันพระไม่ได้มีหนเดียว นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีใครกลัวพวกท่าน ไม่ว่าใครจะอ้างว่าสนิทกับพลเอกอะไรก็ตาม สนช.ทาสอย่างพวกคุณแค่ทางผ่านชั่วคราวของ คสช. เท่านั้นเอง

เปิดช่องสืบทอดอำนาจ

พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์คัดค้านการเลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า การมีมติของคณะกรรมาธิการขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยมีวาระทางการเมืองแอบแฝง เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มผู้มีอำนาจ เปิดช่องให้มีการสืบทอดอำนาจและอยู่ในตำแหน่งต่อไป เป็นการกระทำที่ขาดความชอบธรรมและความรับผิดชอบต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและขาดเหตุผลรองรับ

พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้องค์กรที่เกี่ยวข้องหยุดทำร้ายประเทศด้วยกระบวนการโกงกฎหมายอีกต่อไป และเร่งคืนอำนาจให้ประชาชนตามโรดแม็พที่กำหนดไว้

โละทิ้ง สนช. ทั้งหมด

นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งออกไป 90 วันว่า เหตุมาจากไหน ประเทศนี้แปลกมาก มีกฎหมายแม่บทคือมีรัฐธรรมนูญแล้วใช้ไม่ได้ การอ้างว่าติดคำสั่ง คสช. ไม่ใช่เหตุที่จะอ้างได้ เมื่อกฎหมายแม่วางแนวทางอย่างไรก็ต้องทำกฎหมายลูกให้สอดคล้อง แต่ตอนนี้มีกฎหมายอื่นเหนือรัฐธรรมนูญ จึงต้องแก้ที่ คสช. ซึ่งเป็นผู้ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช. ไม่ใช่ สนช. มาแก้ ซึ่งการขยายวันเลือกตั้งออกไปจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไม่น่าเชื่อถือ ไม่เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด แต่เมื่อพูดออกไปแล้วคำพูดเป็นนายเรา

“ดังนั้น สนช. ที่ตั้งมาต้องโละหมด ความจริงหาทางแก้อย่างอื่นดีกว่าที่ไม่ขัดต่อหลักการ เมื่อมีปัญหานี้ขึ้นมาควรหารือกับนายกฯว่าทำอย่างไร ต้องยกเลิกคำสั่ง คสช. เรื่องนี้เหมือนเส้นผมบังตา ดึงออกก็จะมองเห็นชัดเจนเลย ดังนั้น กรุณามองที่ต้นเหตุ”

ไม่ผิดหวังเพราะไม่เคยหลงรักเผด็จการ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การพูดแบบนกแก้วนกขุนทองของแม่น้ำ 5 สายกำลังสร้างระบบและกติกาที่จะทำให้การเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมห่างไกลความจริงมากขึ้น เพราะเห็นได้ชัดเจนว่ามีเป้าหมายเพื่อให้เกิดนายกฯคนนอก หรือถ้าฝ่ายการเมืองตั้งรัฐบาลได้ก็จะต้องเจอกับดักอำนาจมากมายจนแทบง่อยเปลี้ยเสียขา ส่วน นปช. ไม่คิดจะเคลื่อนไหวเรียกร้องใดๆ เพราะขณะนี้คนบางกลุ่มทั้งพรรคการเมืองหรืออื่นๆมีอาการไบโพลาร์ทางการเมืองคือ บางทีเรียกหารัฐประหาร บางวันต้องการประชาธิปไตย บางครั้งบอยคอตเลือกตั้งและขัดขวางไม่ให้คนอื่นไปเลือกตั้ง แต่บางคราวอยากเลือกตั้ง ใครดึงใครยื้อก็รับไม่ได้ ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่กลุ่มนี้จะบำบัดอาการดังกล่าวให้หายขาด โดยสื่อสารกับตัวเองและสังคมให้ชัดว่ายังเชื่ออยู่หรือไม่ว่าเผด็จการจะแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือปราบคอร์รัปชันได้ ระหว่างระบบเลือกตั้งที่ตัดสินใจเลือกเองและไล่เองได้กับระบบลากตั้งที่ไม่ได้เลือกและแตะต้องไม่ได้

สถานการณ์นี้คือความเสียหายของประเทศอย่างแน่นอน เราเจ็บปวดมาตลอดกับการสูญเสียประชาธิปไตย แต่ไม่เคยรู้สึกผิดหวังหรืออกหัก เพราะไม่เคยหลงรักเผด็จการมาก่อน ช่วงนี้มีข่าวคนดังแยกทางกับคนรักหลายราย หากลองมองเทียบกับการเมืองโดยพูดถึงหลักการไม่ใช่ตัวบุคคล อยากให้บางฝ่ายพิจารณาดูว่าถ้าเผด็จการทำให้เจ็บปวดมากก็ควรตัดใจเสียแล้วเริ่มต้นใหม่กับประชาธิปไตยดีกว่า เพราะแม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ก็ยอมรับว่าคนเท่ากันและมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียม

เลื่อนเพราะคะแนนลดฮวบ

ทางด้านฝ่ายการเมืองที่มีความพร้อมแทบไม่มีพรรคใดเชื่อว่าการขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งออกไปเพื่อความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะสถานการณ์โดยรวมขณะนี้เห็นชัดเจนว่าปัญหาอยู่ที่รัฐบาล คสช. และ คสช. ขณะที่ คสช. กำลังมีคะแนนนิยมตกต่ำแบบฮวบฮาบ จากผลสำรวจของ “กรุงเทพโพลล์” สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “เส้นทางการเลือกตั้งสู่ประชาธิปไตยไทยนิยม” นอกจากคะแนน พล.อ.ประยุทธ์จะลดฮวบแล้ว คำถามที่ว่า “หากวันนี้มีสิทธิออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ท่านจะออกเสียงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่” ปรากฏว่าประชาชนร้อยละ 36.8 ระบุว่าสนับสนุน ลดลงจากผลสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ที่มีผู้สนับสนุนถึงร้อยละ 52.8 เท่ากับลดลงถึงร้อยละ 16.0

เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับการเลือกตั้งที่จะมาถึงเรื่องการสรรหา “นายกฯคนนอก” ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.6 เห็นว่านายกฯควรมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น คือคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ “นายกฯคนนอก” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

นอกจากผลโพลที่ระบุว่าคะแนนนิยม “ลุงตู่” และ คสช. นับวันจะตกต่ำแล้ว “ผู้จัดการออนไลน์” ยังระบุเรทติ้ง “รายการคืนวันศุกร์” ของ “ลุงตู่” ว่าเกือบแตะหลัก “ศูนย์” เหมือนไฟดับทั้งประเทศ ซึ่งมีข่าวว่า “ลุงตู่” ก็ยังไม่รู้ตัว เนื่องจากบรรดาลิ่วล้อไม่กล้ารายงานเพราะคงกลัวเสียกำลังใจ

การเลื่อนการเลือกตั้ง เลื่อนโรดแม็พ จึงเป็นเป้าให้นักการเมืองทุกพรรคออกมารุมถล่มทั้ง สนช. และ คสช. ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรว่าไม่มีใบสั่ง แต่ทั้งโพลและสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ก็เห็นชัดเจนว่าหากมีการเลือกตั้งตามโรดแม็พ คะแนนนิยม พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เหมือนเดิม หรือถึงขั้น “สวรรค์ล่ม” ก็เป็นได้

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถกลับมามีอำนาจในฐานะ “นายกฯคนนอก” ก็จะถูกถากถางและเย้ยหยันตลอดไป เพราะไม่เคยรักษาสัจจะสัญญาใดๆ

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ให้ความเห็นว่า หาก คสช. มีใบสั่งให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์คือหัวหน้า คสช. ไม่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยอมให้ตัวเองเป็น “ตัวตลก” ขาดความเชื่อถือ เพราะไปสัญญากับสังคมโลก เอาเกียรติยศของตัวเองเป็นประกัน

หม่อมอุ๋ย” ถามสปิริตกรณีนาฬิกาหรู

สถานการณ์ต่างๆที่รุมเร้าและรุมถล่ม พล.อ.ประยุทธ์และ คสช. ขณะนี้ เห็นชัดเจนว่ามีผลกระทบอย่างยิ่งกับความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช. อย่างมาก ไม่ใช่แค่นักการเมืองทุกพรรคจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น แม้แต่ภาคประชาชนทั้งที่เคยสนับสนุนรัฐประหารและที่ต่อต้านรัฐประหารต่างก็ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องทวงคืนประชาธิปไตยเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน

ยิ่งมีการปล่อยข่าวว่าต้องเลื่อนโรดแม็พเพราะ “เหตุผลที่อยู่เหนือการควบคุม” ก็ยิ่งมีคำถามและไม่มีใครเชื่อ เหมือนกรณี “นาฬิกาหรู” ของ “บิ๊กป้อม” ที่ทุกฝ่ายทุกกลุ่มทุกสีต่างเห็นพ้องกันว่าเป็น “วิกฤตศรัทธา” ของ “ทั่นผู้นำ” และคณะรัฐประหาร ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องจริยธรรมและคุณธรรมที่ผู้มีอำนาจต้องมีมากกว่าคนทั่วไป

แม้จะเป็น “นาฬิกาเพื่อน” ซึ่งข่าวระบุว่าเพื่อนรักของ “บิ๊กป้อม” เจ้าของนาฬิกาหรูคือ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ หรือ “เสี่ยคราม” เจ้าสัวคอมลิ้งค์ที่เสียชีวิตแล้ว เป็นเพื่อนซี้ตั้งแต่เรียน ป.1 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล แต่ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีรัฐบาล คสช. และเป็นเพื่อนนายปัฐวาทตั้งแต่เรียนอนุบาลเช่นกัน พูดชัดเจนว่า นายปัฐวาทชอบสะสมนาฬิกาหรูหรือไม่นั้นต้องถามลูกนายปัฐวาท แต่กรณี พล.อ.ประวิตรเชื่อว่าเดี๋ยวก็ลาออกอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพราะแรงกดดันสังคมเยอะ

“ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมต้องลาออก หากทำผิดกฎต้องแสดงสปิริต ซึ่งวันนี้ คสช. และรัฐบาลก็สะเทือนแล้วในความรู้สึกของประชาชน อยากให้นายกรัฐมนตรีดู พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นตัวอย่าง สมัยท่านเป็นนายกรัฐมนตรี หากรัฐมนตรีทำผิดท่านจะดำเนินการเพื่อให้ ครม. เป็นตัวอย่างที่ถูกต้องของประชาชน”

ศรัทธาที่ตายไปพร้อม “เพื่อนตาย”

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคำพูดของ “หม่อมอุ๋ย” คงไม่ทำให้ความรู้สึกของ พล.อ.ประยุทธ์ที่มีต่อ พล.อ.ประวิตรเปลี่ยนไป เพราะ พล.อ.ประวิตรไม่ใช่แค่ “พี่ใหญ่” ธรรมดา แต่เหมือนเสาหลักสำคัญที่ค้ำยัน คสช. เหมือน “ศูนย์รวมของอำนาจ” ไม่ใช่แค่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่คุมกองทัพทั้งหมด แต่ พล.อ.ประวิตรยังเป็นพี่และเป็นนายที่เลือกผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถึง 4 คน ตั้งแต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช รวมถึง “เด็กพี่ป้อม” ที่เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บังคับหน่วยคุมกำลังในปัจจุบัน

พล.อ.ประวิตรจึงเป็นมากกว่า “พี่” สำหรับ “บิ๊กตู่” ซึ่งไม่ใช่แค่ย้ำถึง “เสี่ยงตาย” ที่ร่วมกันทำรัฐประหารเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสสำคัญๆ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันความผูกพันที่ยิ่งกว่าเพื่อนรักทั่วไป อย่างวันที่ 11 สิงหาคม 2560 วันคล้ายวันเกิด 72 ปี พล.อ.ประวิตร โดยก่อนปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” มีข่าวสะพัดว่า พล.อ.ประวิตรมีปัญหาสุขภาพและถอดใจอยากวางมือทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวยืนยันว่า “ท่านแข็งแรงดี แม้จะเพิ่งเข้ารับการรักษาตัวมาไม่นาน ส่วนการทำงานเพื่อประเทศชาติและอนาคต ท่านจะอยู่กับผมทั้งชาตินั่นแหละ”

กระแสข่าว พล.อ.ประวิตรถอดใจลาออกและความขัดแย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์สุดท้ายก็ไม่เป็นความจริง แต่กลับยิ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับ พล.อ.ประยุทธ์แนบแน่นยิ่งขึ้น อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึง พล.อ.ประวิตรว่า “ท่านจะอยู่กับผมทั้งชาตินั่นแหละ”

วันที่ 28 ธันวาคม 2560 พล.อ.ประยุทธ์อวยพรปีใหม่ให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตรที่ถูกโจมตีตลอดปี 2560 ว่าจะยังต้องร่วมกันทำงานต่อไป โดยยืนยันว่ากระแสคือกระแส เป็นคนละส่วนกันกับกฎหมาย

ส่วน พล.อ.ประวิตรก็ไม่มีวันทิ้ง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถือว่าร่วมหัวจมท้ายเสี่ยงตายรัฐประหารกันมา และสัญญากันไว้แล้วว่าต้องเดินจูงมือกันไปให้สุดทางจนถึงการเลือกตั้ง ซึ่ง พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า “เป็นนักการเมือง” ว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯคนนอก เพราะถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่

ความสัมพันธ์ที่แน่นปึ้กยังเห็นได้จากงานมอบเงินอัดฉีดนักกีฬาซีเกมส์และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตรในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกร่วมร้องเพลงกับ พล.อ.ประยุทธ์ในเพลง “คนดีไม่มีวันตาย” ซึ่งเป็นเพลงโปรดประจำตัว “บิ๊กตู่” โดยร้องไปจับแขนจับมือ “บิ๊กป้อม” ไป และยังกล่าวในงานว่า “อยู่ด้วยกันมานาน อยู่กันมาทั้งชีวิต” เป็นการให้กำลังใจกันและกันท่ามกลางศึกการเมืองและกระแสการถูกโจมตีและต่อต้าน ก่อนจะตามด้วยการร้องเพลงโปรดของ “บิ๊กป้อม” คือเพลง “สายโลหิต”

แม้ความเป็น “เพื่อนตาย” ระหว่าง “บิ๊กป้อม” กับ “บิ๊กตู่” ยังแน่นปึ้ก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “พี่ป้อม” ก็ต้องอยู่กับ “น้องตู่” กันไปทั้งชาติ

ดูเหมือนกรณี “นาฬิกาหรู” จะไม่จบแค่ “นาฬิกาเพื่อน” ที่ให้ยืมและตายไปแล้ว เพราะความจริงที่ปรากฏไปทั่วทั้งโลกนั้นยังไม่ตายไปจากโลกโซเชียล

แต่สิ่งที่ “ตายไปแล้ว” จริงๆก็คือ สารพัดองค์กรที่ประกาศต่อต้านคอร์รัปชันที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเลือกปฏิบัติ เพราะนิ่งเงียบและเพิกเฉยหากเป็นฟากฝ่ายที่ตนสนับสนุน การประกาศตัวว่าต่อต้านคอร์รัปชันหรือต้านโกง หรือการรณรงค์ให้ “ส่องไฟไล่คนโกง” จึงเป็นแค่เพียงวาทกรรมเพื่อไว้เล่นงานแต่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

ขณะที่ Road Map ก็คือRoad Map เพราะมีแต่ Road Map ไม่มีกำหนดเวลาแต่อย่างใด

สุดท้ายคือการไว้อาลัยแด่คำมั่นสัญญาของคณะ “ทั่นผู้นำ” ที่เปิดเพลงกรอกหูคนไทยว่า “เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน…” แต่จนแล้วจนรอดการเลือกตั้งที่เคยประกาศไว้ว่าจะมีตั้งแต่ปี 2559 ปี 2560 หรือล่าสุดปี 2561 ก็มีสัญญาณเด่นชัดมากขึ้นว่า การเลือกตั้งจะยังไม่มีขึ้นในปีนี้

R.I.P. แด่ “เหล่าคนดี” ที่เลอะเทอะเลอะเลือน!!??


You must be logged in to post a comment Login