วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

คิดกันไปเอง

On February 12, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ไม่ต้องมีแหล่งข่าววงใน ไม่ต้องมีพรายกระซิบก็เชื่อว่าทุกคนพอจะมองออก คาดเดาทิศทางได้ โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมองไปทางไหนก็มีแต่กลุ่มพลังเงียบที่เข้าขั้นเงียบสงัด เงียบลึก ไม่สนใจการเมือง ทั้งนี้เพราะมองไม่เห็นอนาคต มองไม่เห็นตัวเลือกที่ดีกว่า และยังเห็นรางวัลที่นักเคลื่อนไหวได้รับซึ่งมีแต่คดีความคิดตัว ใครจะอยากออกมาเสี่ยงตีงูให้กากิน เรื่องนี้ผู้มีอำนาจอ่านขาดจึงมั่นใจว่ากระแสทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องที่คิดกันไปเอง เมื่อมั่นใจ จึงพร้อมจะใช้อำนาจเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้า ตามภารกิจที่ตั้งใจไว้

สถานการณ์บ้านเมือง แม้จะพอมองออก คาดเดาทิศทางได้ แต่ก็มีความเสี่ยงจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ตลอดเวลาเหมือนกัน

การเมืองเหมือนนั่งเล่นเกมแม้จะรู้ว่าเส้นชัยคืออะไร แต่ต้องดูกันยาวๆ ต้องผ่านไปทีละด่าน ลุ้นกันเป็นเรื่องๆไป

เรื่องเลือกตั้งดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกคนทุกฝ่ายจะคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันและเริ่มยอมรับความจริงแล้วว่า ปี 2562 ก็ไม่มีเลือกตั้ง

ส่วนจะลากยาวไปนานแค่ไหนปัจจัยชี้ขาดหลักมีอยู่ 2 อย่าง

ปัจจัยแรกอย่างที่ทราบกันคือต้องรอดูผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.

หลังผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องรอดูมติของสนช.ว่าจะผ่านหรือคว่ำร่างพ.ร.ป.

ถ้าผ่านไปได้ถึงจะเริ่มเค้าท์ดาวนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะยังมีปัจจัยที่สองที่สามารถสอดแทรกเข้ามาทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปได้อีก

เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พูดชัดว่า

“เราต้องมีวิธีการที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งมีอยู่สองอย่าง คือ 1.ผมกำหนด 2.กฎหมายกำหนด”

หมายความว่าหากให้กฎหมายกำหนดก็จะจัดเลือกตั้งภายใน 150 วันหลังพ.ร.ป.เลือกตั้งมีผลบังคับใช้

แต่ถ้า “ผมกำหนด” ไม่มีใครรู้ว่าจะกำหนดให้มีเลือกตั้งเมื่อไหร่ เพราะอำนาจมาตรา 44 สั่งเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้หมด

อย่างไรก็ตามหากให้คาดเดาคงใช้เทคนิคกฎหมายยื้อ จนไม่เหลือเทคนิคกฎหมายให้ใช้ได้แล้ว ถ้าภารกิจยังไม่สำเร็จจึงใช้มาตรา 44 เพราะถ้าข้ามขั้นไปใช้มาตรา 44 เลยมีความเสี่ยงสูง

ขั้นตอนไปสู่การเลือกตั้งน่าจะเป็นไปตามสเต็ปที่ว่านี้

ส่วนกระแสต่อต้านดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจจะไม่ได้หวั่นเกรงเท่าไหร่ เนื่องจากยังมั่นใจในอำนาจว่าคุมได้

เรื่องที่ว่ากองหนุนลดลง หรือว่าความนิยมเสื่อมถอยลง ผู้มีอำนาจเชื่ออย่างสนิทใจว่าเป็นเรื่องที่คิดกันไปเอง

เนื่องจากเห็นว่าคนที่ออกมาพูด คนที่ออกมาบ่น ออกมาเรียกร้อง ออกมาเคลื่อนไหว ส่วนมากเป็นพวกขาประจำหน้าเดิมที่วิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามายึดอำนาจ

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างกับตอนเลือกตั้งที่รู้ทิศทาง รู้ผล ล่วงหน้าแล้ว

หากจะเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนแปลงผลต้องอาศัยพลังเงียบ

เมื่อมองจากสภาพปัจจุบันต้องบอกว่าเป็นไปได้ค่อนข้างยากถึงยากมาก เพราะพลังเงียบในสังคมตอนนี้เข้าขั้นเงียบสงัด เงียบลึก ไม่ได้สนใจการเมือง

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเบื่อความขัดแย้ง และไม่มั่นใจว่าถ้าออกมาร่วมขับไล่รัฐบาลทหารคสช.ไปได้แล้วจะมีอนาคตที่ดีกว่า เพราะมองเห็นแต่นักการเมืองหน้าเดิมที่รอเข้าสู่อำนาจ ไม่มีตัวเลือกที่สดใหม่พอจะฝากผีฝากไข้ได้

ที่สำคัญไม่มีใครอยากเปลืองตัวอีกแล้ว เพราะเห็นบทเรียนจากนักเคลื่อนไหว นักกิจกรรมทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกสีที่ออกมาสู้ในช่วงที่ผ่านมารางวัลที่ได้มีแค่ 2 อย่างคือไม่ตายก็คิดคุก

ใครจะอยากออกมาเสี่ยงตีงูให้กากิน

เรื่องนี้ผู้มีอำนาจอ่านขาดถึงมั่นใจว่ากระแสทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องที่คิดกันไปเอง

เมื่อมั่นใจ จึงพร้อมจะใช้อำนาจเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้า ตามภารกิจที่ตั้งใจไว้อย่างที่เห็น


You must be logged in to post a comment Login