- อย่าไปอินPosted 14 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เปิดใจ’ก่อการร้ายลายฉลุ’ มือพ่นสเปรย์เสียดสีการเมือง
เว็บไซต์ ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ตามล้วงลึกตัวตนแอดมิน เฟซบุ๊ก Headache Stencil มือพ่นสเปรย์ศิลปะเสียดสีทางการเมืองอันร้อนแรงในยุคที่ คสช. เรืองอำนาจ
“ผมผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ภาพที่ผมจำได้เสมอคือภาพที่คุณพ่อวิ่งออกไปตะโกนว่า ประชาชนชนะแล้ว ภาพนั้นทำให้ผมสนใจการเมือง สนใจสังคมตั้งแต่เด็กๆ”
จุดเริ่มต้นของความสนใจในศิลปะ และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ แอดมินเฟซบุ๊ก Headache Stencil สนใจในข่าวการเมือง
จนเป็นแรงผลักดันให้เขาสนใจที่จะศึกษาในคณะครุศาสตร์ เกี่ยวกับศิลปศึกษาของ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
หลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2557 แอดมินเพจ Headache Stencil ผลิตผลงานศิลปะเป็นงานอดิเรก ด้วยการพ่นสีสเปรย์ลงบนกำแพง ลงบนสถานที่สาธารณะต่างๆทั้งในกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัด และต่างประเทศมานับไม่ถ้วน
กราฟฟิตีชิ้นแรกที่เสียดสีการเมืองของเขาคือ ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ซึ่งนำไปมิกซ์กับหนัง Austin Powers เพื่อเสียดสีการห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ถัดจากนั้นมา 3 ปี สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศยังคงร้อนแรง เมื่อประชาธิปไตยยังคงถูกปกคลุมด้วยอำนาจของท็อปบูต
นาฬิกาหรูจำนวนกว่า 20 เรือนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ซึ่งไม่ปรากฎในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถูกสื่อมวลชนนำมาตีเป็นข่าวต่อเนื่องยาวนานเกือบ 2 เดือนกว่า
30 ม.ค. 2561 คือวันแรกที่ แอดมินเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว ตัดสินใจทำกราฟฟิตีเสียดสี พล.อ.ประวิตร ขึ้น บนสะพานลอยคนข้ามถนนหน้า ซอยสุขุมวิท 58 และโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเอง
จนเป็นที่มาทำให้เขาต้องหนีออกจากที่พักส่วนตัว หลบไปถึงชายแดน เพราะถูกทหาร และตำรวจไล่ล่าในยุคที่เขาไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
‘วอยซ์ ออนไลน์’ นัดหมายแอดมิน เฟซบุ๊ก Headache Stencil ซึ่งไม่ประสงค์จะออกชื่อและนามสกุลจริง มาเปิดใจถึงเบื้องลึกจริงๆ ของเขาหลังเพิ่งถูกตำรวจเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 3,000 บาท ในข้อหา “ร่วมกันขูด ขีด กะเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฎด้วยประการใดๆ ที่กำแพง ที่ติดกับถนน บนถนน หรือส่วนหนึ่งส่วนใด ของอาคารที่อยู่ติดกับถนน หรืออยู่ในที่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต”
ทำไมถึงออกมาทำกราฟฟิตีเสียดสีทางการเมือง
ชื่อที่ผมใช้คือ Headache แนวคิดคือ การทำงานของผมจะเป็นเรื่องราวที่ทำให้ปวดหัว หรือเรื่องราวที่บุคคลทำให้ปวดหัว ก็เลยทำเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตามที่ปวดหัว เรื่องราวสังคมไม่มีอะไรที่น่าปวดหัวเท่ากับการเมือง ส่วนใหญ่ก็ออกมาเป็นเรื่องการเมือง
เพจนี้ สร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนการเมืองเท่านั้น
ไม่ครับ เพจนี้ที่แสดงผลงานศิลปะของผม ถ้าไปดูจะมีส่วนล้อเลียนการเมืองและอีเวนต์ต่างๆ ไม่เกี่ยวกับการเมือง มีศิลปะ สวยงามจริงๆ งานการเมืองก็จะเป็นเรื่องหลัก เพราะว่าผมสนใจการเมืองมานาน ชอบอ่านข่าวอยู่แล้ว พอสนใจมากสุดมารวมกับศิลปะก็กลายเป็นศิลปะที่ไปเกี่ยวข้องกับสังคมและการเมือง ส่วนอายุของเพจนี้ตั้งมา 3 ปีพร้อมกับรัฐประหาร
งานกราฟฟิตี การเมืองมีประมาณ 20 ชิ้นพ่นทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ส่วนการพ่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และข่าวสารช่วงนั้นๆ ถ้าทำสิ่งที่เป็นข่าวตอนนี้ออกไป เวลาผ่านไปอีก 2 เดือนก็ลืมข่าวนี้ไปแล้ว วันหนึ่งเมื่อเห็นงานศิลปะ จะทำให้เตือนสติเรา ตอนนั้นสถานการณ์หรือรูปแบบการปกครอง การใช้ชีวิตเป็นยังไง มันน่าจะมีประโยชน์ในอนาคต
ตอนนี้มันได้แค่อารมณ์ร่วม ได้แค่เจ๋ง สวย เฮ้ย แรง โอ้ย กล้า มันไม่ใช่ประโยชน์ที่ผมอยากได้ ประโยชน์ที่ผมอยากได้คือ เป็นการรีมายด์คนมากกว่าให้จดจำว่า สถานการณ์หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็นยังไง
“เป็นผู้ก่อการร้ายทางลายฉลุ ยังไงก็ต้องมีคนไม่พอใจ ผมทำเสียดสีสังคม การเมืองพูดเรื่องความจริงจากสังคมที่รับรู้จากสื่อ”
ทำไมต้องพ่นรูปนาฬิกาปลุก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ถ้าเอาจริงๆเรื่องจุดพ่นตรงนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด จุดนั้นมีคนผ่านไปผ่านมาเยอะทุกวัน อืม… มันเหมือนศิลปินทั่วไปที่อยากทำงานศิลปะ อยากให้คนได้เห็นงานเป็นธรรมดา อย่างเรื่องนาฬิกา ผมว่าสังคมไทยถูกปลุกขึ้นมาของท่านนี้ แล้วก็ผมคิดว่าเรื่องราวตอนนี้ นาฬิกาของท่านนี้ที่ปลุกสังคมไทยขึ้นมาไม่ได้ต้องการไปขยี้เรื่อง หรือซ้ำเติม หรือประจาน ถ้าผมตั้งใจทำ ต้องทำตั้งแต่เกิดเรื่องไม่ได้เพิ่งมาทำ เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ว่าวันหนึ่งสังคมไทยถูกปลุกขึ้นมาทั้งประเทศด้วย เรื่องนาฬิกา
กำลังจะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดไม่ได้หวังผลทางการเมือง
ไม่ได้หวังผลทางการเมืองทั้งสิ้น มันคืองานศิลปะที่ออกมาจากตัวศิลปิน
คนจะมองไหมว่านี่คือ อาชญากรทางศิลปะ มาสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองหรือเปล่า
ก็ฟังดูเท่นะ อาชญากรทางศิลปะ ผมว่าศิลปะไม่สามารถฆ่าใครได้ทำลายใครได้ทั้งสิ้น ยกเว้นเจ้าตัวทำลายตัวเอง หมายถึงเรื่องทั่วๆไปนะ ไม่ได้หมายถึงกลุ่มใคร คนใดคนหนึ่ง ฟีดแบ็คด้านลบก็มี คือถ้าเราจะพูดอะไรที่มันผิด แต่ใช้วิธีที่ผิดกฎหมายมันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ผมเข้าใจมุมที่เขาบอก
แม้จะถูกโทษปรับตามกฎหมายก็คิดไว้แล้ว
ผมว่าสตรีท อาร์ทิสต์ ทั้งโลกรู้นะครับว่า เวลาไปพ่นแล้ว ตำรวจมาจับจะต้องชำระค่าปรับ เพราะคนที่ออกไปพ่นไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ เพราะถ้าไม่มีความรู้คงไม่บ้าจี้ซื้อ สีกระป๋องราคาแพงๆไปพ่นกำแพง ทำไมก็ไม่รู้ ผมว่าสตรีทอาร์ทิสต์ทุกคนมีอุดมการณ์ ผมว่าไม่มีใครกลัวเรื่องค่าปรับนะ เพราะว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้พ่นไปทุเรศ
เหตุการณ์ครั้งนี้ที่ถูกตำรวจมาติดตามหนักถือว่าหนักที่สุดหรือไม่
งานการเมืองไม่ค่อยอยู่ได้นานเท่าไหร่ เพราะถูกลบอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา ไปพ่นที่สาธารณะแล้วถูกลบไม่แปลก แต่การตามตัวคงไม่แปลก แต่พอเวลามันมากเกินไปสำหรับคนธรรมดาอย่างผมไม่คิดว่าวันหนึ่งจะตามตัวขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่ถูกตามตัว เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าผมไปทำลายทรัพย์สินสาธารณะ เราไปพ่นบนสะพานลอย
“ผมว่าศิลปะไม่สามารถฆ่าใครได้ทำลายใครได้ทั้งสิ้น ยกเว้นเจ้าตัวทำลายตัวเอง หมายถึงเรื่องทั่วๆไปนะ”
ส่วนตัวจะยังไม่เลิกทำกราฟฟิตี แม้จะถูกตำรวจตามติดมาแล้ว
ตำรวจก็ทำตามหน้าที่ ถ้าผมล้มเลิกมา 3-4ปี ที่ผมทำมา สิ่งที่ผมทำยังไงวันหนึ่งก็ต้องเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ผมทำสะท้อนสังคมยังไงก็มีคนไม่พอใจ ที่ทำเหมือนงานอดิเรก ผมก็มีธุรกิจ เหมือนคนทั่วไปที่เวลาว่างคุณทำอะไร ผมไม่ใช่คนเที่ยว
ชิ้นงานที่โอเคสุดสำหรับการเมือง
อืม…โอเค คืออะไรอ่ะครับ ถ้าที่ผมชอบจริงๆคือ รูปนายกฯถือกระป๋องสีสเปรย์ เพราะว่าผมชอบ มันจะมียี่ห้อของที่ลิงค์กับ ม.44 ผมว่าภาพมันกระแทกกลุ่มวัยรุ่นได้ดีว่าคุณนำอะไรมาพ่น ซึ่งรูปนี้เป็นปีแล้วไม่เคยมีปัญหาเลย ก็เลย งง ผมจะพ่นแค่ที่เดียว เพราะว่ามันเป็นมาสเตอร์พีซ ควรพ่นที่เดียวดีกว่า ไม่ได้สนใจเรื่องลิขสิทธิ์ ที่ที่ผมไปพ่นคือที่สาธารณะ ผิดกฎหมายสาธารณะ เมื่อผมใช้ที่สาธารณะทำ งานศิลปะผมก็เป็นของสาธารณะอ่ะครับ
ถ้าจะบอกว่าคุณเป็นอาชญากรทางศิลปะพอรับได้กับข้อกล่าวหานี้หรือไม่
ตั้งแต่วันแรกที่ผมเปิดไอจี ผมก็เขียนว่าตัวเองเป็น Stencil terrorist อยู่แล้ว เป็นผู้ก่อการร้ายทางลายฉลุ ยังไงก็ต้องมีคนไม่พอใจ ผมทำเสียดสีสังคม การเมืองพูดเรื่องความจริงจากสังคมที่รับรู้จากสื่อ จากข่าว การที่ทำงานศิลปะขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วมีคนเกลียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่ากับอีก 5 ปี คนก็เกลียดผมครึ่งโลกแล้วล่ะ เพราะมันคงไปกระทบกับคนเยอะ ผมว่าคนเราต้องเรียนรู้จากบาดแผล ปัญหาครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ผม ถ้าเขาตามล่าผมคนเดียวจะไม่มีปัญหา แต่เขาไปใช้วิธีหาคนรอบๆตัวผมด้วย จนถึงจุดที่รุ่นน้องผมร้องไห้ โทรฯ มาบอกว่า พี่มอบตัวเถอะ
- ไทม์ไลน์ เหตุการณ์นาฬิกาปลุก พล.อ.ประวิตร
30 ม.ค. 2561
โพสต์เฟซบุ๊ก ภาพกราฟฟิตี นาฬิกาปลุก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บนสะพานลอยคนข้ามถนน หน้าปากซอยสุขุมวิท 58
“ไม่ต้องส่งคนมาตามล่ากูด้วย กูทำงานศิลปะ ไม่ใช่ภัยพิบัติชาติ”
1 ก.พ. 2561
วันที่ 3 ของกราฟฟิตี พล.อ.ประวิตร
โพสต์ “มีพี่ๆชุดเขียวมาไลค์ทั้งเพจ ฟอลไอจีกันอย่างรึ่มเบย”
2 ก.พ. 2561
กราฟฟิตี พล.อ.ประวิตร บนสะพานลอย หน้า ซอยสุขุมวิท 58 ถูกลบ
3 ก.พ. 2561
โพสต์ หนีออกจากที่พัก หลังระบุว่า มีตำรวจไปติดตามที่บ้านของคนที่รู้จัก
5 ก.พ. 2561
แอดมิน Headache Stencil หนีออกไปยังต่างจังหวัด หลังอ้างว่าถูกตำรวจ – ทหาร ตามติด
6 ก.พ. 2561
ผู้ปกครอง แอดมิน Headache Stencil เข้าพบ ผกก. สน.พระโขนง สอบถามการดำเนินคดีกับบุตรชาย
9 ก.พ. 2561
ผู้ปกครอง นำแอดมิน Headache Stencil เข้าพบ ผกก.สน.พระโขนง ตามหมายเรียก ให้การรับสารภาพ และถูกปรับเงิน 3,000 บาท กรณีพ่นสีในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ภาพข่าว – เสกสรร โรจนเมธากุล / ฐานันต์ อิ่มแก้ว
You must be logged in to post a comment Login