- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
4ปีน้ำผึ้งขม
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
ในโอกาสใกล้วงรอบถือครองอำนาจครบ 4 ปี ความโดดเด่นในวาทกรรมปราบโกงที่ช่วยยกตัวเองให้สูงกว่านักการเมืองกำลังเป็นหอกย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง การประกาศดัชนีความโปร่งใสขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติล่าสุดไทยมี 37 คะแนนเต็ม 100 อยู่อันดับ 96 จาก 180 ชาติทั่วโลก ปราบโกงกันมาเกือบ 4 ปีแต่ผลสำรวจทั้งจากองค์กรในประเทศและต่างประเทศออกมาในทิศทางเดียวกัน ขณะที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติที่ตั้งตามคำสั่งคสช.กำลังใกล้วงแตกหลังไม่ได้ประชุมกันมาเกือบครึ่งปี การปราบโกงที่มีแต่ทรงกับทรุดกำลังทำให้เกิดภาวะ “น้ำผึ้งขม” คนที่สนับสนุนคสช.เพราะชอบที่เข้ามาปราบโกงเริ่มรักษาระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ
เข้าตำราสวยแต่รูปจูบไม่หอม สำหรับการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ถูกประกาศเป็นวาระแห่งชาติ และน่าจะเป็นหนึ่งในผลงานสร้างชื่อของรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
แต่ผลกับตรงกันข้ามยิ่งอยู่นานวาระแห่งชาตินี้ยิ่งฉุดให้รัฐบาลทหารคสช.ตกต่ำลง
จากผลการจัดอันดับดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ประจำปี 2560 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ หรือ IT ที่จัดอันดับจาก 180 ประเทศทั่วโลกปรากฏว่าไทยอยู่อันดับที่ 96 ได้เพียง 37 คะแนนจากแต้มเต็ม 100
แม้จะขยับดีขึ้นมา 5 อันดับจากปีที่แล้วอยู่อันดับ 101 แต่ไม่ถือว่ามีอะไรน่ายินดี หากนับเฉพาะในกลุ่มอาเซียนด้วยกันอยู่อันดับ 4 ความโปร่งใสเป็นรองสิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย
หน่วยงานหลักรับผิดชอบปราบคนโกงอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ประกาศเป้าหมายว่าในปี 2564 ไทยจะต้องได้คะแนนเกินครึ่ง
อย่างไรก็ดีหน้าที่การปราบปรามทุจริตไม่ได้มีเพียงแต่ ป.ป.ช.เท่านั้น เมื่อเป็นวาระแห่งชาติก็คงจำกันได้ว่าหลัง คสช.ยึดอำนาจเข้ามาบริหารประเทศก็มีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(คตช.) เพื่อแสดงเจตนารมย์ว่าจริงจังกับเรื่องนี้
คณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้นตามคำสั่ง คสช.ที่ 1/2558 ลงวันที่ 5 มกราคม 2558 มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาประธานกรรมการ
ประเด็นที่น่าคือตั้งแต่มี คตช. “บิ๊กป้อม” ยังไม่เคยเข้าร่วมประชุมแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังเกิดเรื่องอื้อฉาวยืมนาฬิการาคาแพงของเพื่อนมาใส่หลายเรือนโดยไม่แจ้งในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นกับป.ป.ช.อีกด้วย
ในการประชุมคตช.เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559 มีหลายวาระแต่ประเด็นที่น่าสนใจคือการตั้งเป้าไว้ 3 ประการ ประกอบด้วย 1.คนโกงรายเก่าจะต้องหมดไป โดยมีการปราบปรามอย่างมีประสิทธิภาพ 2.คนโกงรายใหม่ต้องไม่เกิด โดยการป้องกันอย่างครบถ้วน 3.ไม่เปิดโอกาสให้ได้โกง โดยเสริมสร้างภาคีเครือข่ายเฝ้าระวังให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง
หลังจากนั้นไม่กี่วันคือในวันที่ 11 กันยายน 2559 เวลา 18.00 น. ได้มีการจัดงาน “กรรมสนองโกง” พร้อมกันทั่วประเทศ โดยมีศูนย์กลางที่ท้องสนามหลวง เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติให้คนโกงและสังคมได้รู้ว่ากรรมนั้นมีอยู่จริง โดยไฮไลท์ของงานอยู่ที่การแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง มาตรการการจัดการปัญหาคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม และการเป็นประธานจุดไฟไล่โกงครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศเพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันของ “บิ๊กตู่”
ช่วงเวลาที่ผ่านมามีทั้งการตั้งคณะกรรมการ การประกาศเจตนารมย์ การจัดกิจกรรมเชิงสัญญลักษณ์ การประกาศเป้าหมายปราบโกง แต่คะแนนความโปร่งใสของไทยก็ยังได้แค่ 37 เต็ม 100
ไม่เพียงการให้คะแนนขององค์กรต่างชาติ แม้แต่ผลสำรวจสถานการณ์ดัชนีคอร์รัปชันของไทยเดือนธันวาคม 2560 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ยังพบว่าดัชนีปัญหาและความรุนแรงการคอร์รัปชันมีความรุนแรงมากขึ้น โดยลดลงมาอยู่ที่ 42 จากครั้งก่อนอยู่ที่ 44 มีเพียงดัชนีการสร้างจริยธรรมและจิตสำนึกที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 60 เป็น 62
ทั้งนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประมาณการว่า มูลค่าการคอร์รัปชันอยู่ที่ 5-15% ของงบประมาณ หรือ 6.62 หมื่นล้านบาท ถึง 1.98 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.29-6.86% ของงบประมาณ กระทบต่อจีดีพีประเทศ 0.41-1.23% ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมาจากกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ใช้ดุลพินิจ กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใส ความไม่เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจากการทำสำรวจมาทั้งหมด 15 ครั้งหรือ 7 ปีครึ่ง ครั้งนี้น่าห่วงว่ามีแนวโน้มจะกลับมาเพิ่มขึ้นและมีสัญญาณความรุนแรงมากขึ้นหลังจากลดลงมาตลอดตั้งแต่ปี 2558 หลังเริ่มมีการ จัดซื้อจัดจ้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยพบว่า อัตราการจ่ายใต้โต๊ะในปี 2560 อยู่ที่ 5-15% ถือว่าสูงสุดในรอบ 3 ปี นับจากปี 2558 ที่จ่ายเฉลี่ย 1-15% และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1-2 แสนล้านบาท
เมื่อผลงานไม่เป็นอย่างที่หวังอะไรๆ ก็เริ่มไม่ดีเหมือนช่วงแรกๆ ซึ่งมีข่าวว่ากรรมการคตช. หลายคนกำลังพิจารณาลาออกเพราะนั่งรอมา 4-5 เดือนไม่มีการเรียกประชุม ต่างจากช่วงตั้ง คตช.ใหม่ประชุมกันทุกเดือน แถมหลายคนยังต้องการให้ “บิ๊กป้อม” ที่มีปัญหานาฬิกาหรูออกจากที่ปรึกษาและกรรมการ คตช.
“ถ้าผู้ใหญ่ในรัฐบาลทำอะไรที่ทำให้คนมีความรู้สึกว่าไม่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้แล้ว จะทำให้คนที่ต้องการสนับสนุนถดถอยไปบ้าง”
เป็นคำกล่าวของ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการคตช.
“น้ำผึ้งขม” ทีมปราบโกงใกล้วงแตก
You must be logged in to post a comment Login