- ส.ว.ต้องสร้างผลงานเชิดชูองค์กรPosted 1 day ago
- รอความจริงเปิดเผยPosted 4 days ago
- ไม่ประมาท โอกาสรอดมีเยอะPosted 5 days ago
- ล้างบางพระทาสยานรกPosted 6 days ago
- ยิ่งดิ้น ยิ่งจมPosted 1 week ago
- ไม่มีอะไรแน่นอนPosted 1 week ago
- ต้องเรียนวิชาป้องกันตัวเองPosted 2 weeks ago
- ยิ่งเรียน ยิ่งโง่ ยิ่งโต ยิ่งเซ่อPosted 2 weeks ago
- สื่อต้องเสนอข่าวสร้างสรรค์Posted 2 weeks ago
- ลูกผู้ชายตัวจริงPosted 2 weeks ago
กลยุทธ์ปกป้องหัวใจ / โดย นพ.อรรถภูมิ สู่ศุภอรรถ
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2018/02/653-221.jpg)
คอลัมน์ : โลกสุขภาพ
ผู้เขียน : นพ.อรรถภูมิ สู่ศุภอรรถ
การดูแลหัวใจให้ห่างไกลโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aortic Aneurysm) เป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ เพราะเป็นหลอดเลือดที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายที่ออกมาจากหัวใจ หากเกิดปัญหาจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งหมดในร่างกาย
หลอดเลือดแดงใหญ่มีความสำคัญมาก เปรียบเสมือนท่อน้ำหลักที่เลือดไหลผ่านเฉลี่ยแล้วนาทีละ 5 ลิตร ดังนั้น ไม่ว่าโรคใดก็ตามที่เกิดกับหลอดเลือดจะส่งผลไปทั่วร่างกาย ถึงแม้ปัจจุบันประชาชนจะมีความรู้มากขึ้นและวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่พฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบตะวันตก รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้
การรู้จักดูแลตนเองและคนใกล้ตัวเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองตั้งแต่เนิ่นๆย่อมช่วยให้หัวใจแข็งแรง ห่างไกลโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดย 10 เทคนิคดังต่อไปนี้คือวิธีป้องกันโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองที่ทั้งคุณ คนข้างๆ และไม่ว่าใครก็สามารถทำได้เช่นกัน
1.ตรวจเช็กหัวใจเมื่อเสี่ยง กลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ได้แก่ ผู้ชายอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ควรต้องพบแพทย์เพื่อทำ Screening Test หัวใจ โดยอัลตราซาวนด์บริเวณช่องท้องหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่วงอกตามการวินิจฉัยของแพทย์ หากเป็นโรคนี้จะได้รักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่หลอดเลือดจะแตกหรือปริ ลดโอกาสเสียชีวิตได้สูงเป็น 10 เท่า 2.รู้ระวังสัญญาณเตือน ได้แก่ เจ็บหน้าอกบริเวณกึ่งกลางหน้าอกทะลุหลัง ปวดท้องบริเวณกลางท้องในลักษณะเต้นตุบๆ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ด้านหัวใจทันที
3.เลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะช่วยลดโอกาสหลอดเลือดแดงแตกถึง 4 เท่า ในผู้ที่ตรวจพบการโป่งพองของหลอดเลือด แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกหรือต้องเข้ารับการผ่าตัด 4.รับประทานอาหารเสริมบำรุงหัวใจ เช่น ผักและผลไม้สด รวมทั้งสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม หากร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอไม่จำเป็นต้องเสริมด้วยวิตามิน เพราะการได้รับวิตามินบางชนิดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ที่สำคัญก่อนรับประทานวิตามินควรปรึกษาแพทย์โดยละเอียด
5.เลี่ยงยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ ยาลูกกลอน ยาต้ม ยาหม้อ เพราะนอกจากไม่ทราบที่มาของส่วนผสมที่แน่ชัด ยังอาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คิด 6.ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งส่งผลให้เป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองได้ ควรรู้จักจัดการกับความเครียด และหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆที่จะทำให้ตนเองหรือคนใกล้ตัวเกิดความเครียด
7.เล่นกีฬาที่ใช่ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง จิตใจแจ่มใส โดยผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้ที่ตรวจพบแล้วว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองแต่ยังไม่ถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรออกกำลังกายในระดับปานกลางที่ไม่เหนื่อยจนเกินไป เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ เดินป่า ฯลฯ และหลีกเลี่ยงกีฬาที่ใช้แรงเบ่ง เช่น การยกน้ำหนัก 8.ชากาแฟต้องพอดี เพราะกาเฟอีนมีผลต่อร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน ควรสังเกตร่างกายตนเองและดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกับหัวใจ แนะนำให้ดื่มไม่เกินวันละ 1 แก้ว
9.งดดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีผลทำให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองมากขึ้น 10.หางานอดิเรกที่ชอบทำ จะช่วยให้ห่างไกลจากภาวะซึมเศร้า เติมเต็มชีวิตให้มีคุณค่าและมีความสุข มีหัวใจที่แข็งแรง ควรเลือกงานอดิเรกที่เหมาะสม เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ หรืองานอดิเรกที่ได้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นและสังคม อย่างกิจกรรมจิตอาสาต่างๆตามความถนัด
สำหรับใครที่มีความเสี่ยงแนะนำให้ตรวจเช็กตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงแนะนำให้ตรวจเช็กหัวใจอย่างละเอียดตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป เพื่อจะได้มั่นใจว่าจะได้อยู่กับคนที่รักไปนานๆ และถ้าหากตรวจแล้วพบว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจหรือพบว่าเป็นโรคหัวใจแล้ว การส่งต่อความรักที่ดีที่สุดคือการเป็นกำลังใจให้กันและกัน
การมาพบแพทย์ไม่จำเป็นต้องรับยากลับไปรับประทานเสมอไป แต่คนไข้จะได้ความรู้และแนวทางการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองและคนรอบข้างเพิ่มขึ้นอีกด้วย
You must be logged in to post a comment Login