- อย่าไปอินPosted 15 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
คนหลายชีวิต / โดย ศิลป์ อิศเรศ
คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
(โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 656 วันที่ 16-23 มีนาคม 2561)
นายแพทย์ชื่อดังชาวอเมริกันหายออกจากบ้านอย่างลึกลับ ภรรยาออกติดตามหาจนกระทั่งไปพบตัวที่อังกฤษ แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้และหายตัวไปอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาโผล่ที่อเมริกาในอีกหลายปีต่อมา
วิลเลี่ยม เบตส์ จบการศึกษาคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กรุงนิวยอร์ก เมื่อปี 1885 เชี่ยวชาญทางด้านจักษุวิทยา หลังจากจบการศึกษาก็ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายให้กับแพทย์ในโรงพยาบาลและแพทย์จบใหม่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆหลายแห่ง
วิลเลี่ยมเชื่อว่าการรักษาผู้ป่วยที่มีสายตาผิดปรกติด้วยการวัดสายตาประกอบแว่นนั้นไม่ถูกต้อง โดยให้เหตุผลว่า “หากแว่นตาเป็นวิธีการรักษาที่ถูกต้องจะต้องสามารถทำให้สายตาของผู้ป่วยดีขึ้นจนกระทั่งกลับมามีสายตาดีดังเดิมโดยไม่ต้องสวมแว่น เปรียบเสมือนการให้ยากับผู้ป่วยจะต้องทำให้สุขภาพของผู้ป่วยดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อยๆลดยาจนกระทั่งไม่ต้องกินยาอีกเลย”
วิลเลี่ยมทำการวิจัยกลุ่มตัวอย่างทั้งคนและสัตว์จำนวนหลายพันตัวอย่างจนได้ข้อสรุปว่า อาการสายตาสั้นเกิดจากความกลัวและระดับการมองเห็นแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่คงที่ ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด สามารถรักษาได้ด้วยการให้ผู้ป่วยพักผ่อน วิลเลี่ยมเขียนบทความงานวิจัยการรักษาอาการสายตาสั้นครั้งแรกเมื่อปี 1891
ปี 1896 วิลเลี่ยมลาออกจากการเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาล เขาใช้เวลาทั้งหมดทำการศึกษาและวิจัยการรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปรกติทางสายตาโดยไม่ต้องสวมแว่น ในเวลานี้วิลเลี่ยมเป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงและมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย
ลาก่อนที่รัก
วันที่ 30 สิงหาคม 1902 วิลเลี่ยมเขียนโน้ตสั้นๆถึงภรรยามีใจความว่า “ภรรยาที่รัก ผมถูกตามตัวไปรักษาที่นอกเมือง ผมไปกับ ดร.ฟอร์ชและลูกศิษย์ เพื่อผ่าตัดต้อกระจกตาและอื่นๆ เขาสัญญาว่าจะให้ค่าตอบแทนอย่างคุ้มค่า ผมดีใจที่เราจะได้รับเงินจำนวนมาก ผมกำลังรีบ ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วจะเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลัง ด้วยความรัก ลงชื่อ วิลลี่”
มันเป็นข้อความที่น่าสงสัย เพราะในเวลานั้นวิลเลี่ยมมีทรัพย์สินเงินทองมากมายอยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องสนใจกับค่ารักษาผู้ป่วยคนเดียว ทำไมถึงต้องรีบร้อนไปจนไม่มีเวลารอพบหน้าภรรยาก่อน และไม่บอกว่าคนป่วยเป็นใคร อยู่ที่ไหน
หลายวันผ่านไปวิลเลี่ยมไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย ภรรยาเริ่มเป็นห่วง สอบถามไปยังญาติและเพื่อนๆทั้งในอเมริกาและยุโรป แต่ก็ไม่มีใครได้ข่าววิลเลี่ยมเช่นเดียวกัน เธอจึงบากหน้าไปพึ่งสมาคมช่างก่อสร้างซึ่งวิลเลี่ยมเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ ทางสมาคมได้จัดการส่งภาพถ่ายและบรรยายรูปร่างลักษณะวิลเลี่ยมกระจายไปยังสาขาต่างๆทั่วโลก
6 สัปดาห์ต่อมามีจดหมายตอบกลับจากประเทศอังกฤษ แจ้งว่าพบคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายวิลเลี่ยมทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลแชริ่งครอส กรุงลอนดอน ภรรยาของวิลเลี่ยมรีบจับเรือเที่ยวแรกเดินทางไปกรุงลอนดอนโดยทันที
เธอคือใครไม่รู้จัก
แรกเริ่มนั้นวิลเลี่ยมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในฐานะคนป่วย เขามีร่างกายซูบผอม อิดโรย เบ้าตาโบ๋ อาการคล้ายคนไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน ทั้งๆที่เขามีเงินฝากอยู่ในบัญชีธนาคารมากพอที่จะเช่าห้องพักในโรงแรมระดับ 5 ดาว กินอาหารหรูๆทุกวันได้เป็นปีๆ
ทันทีที่พบหน้าภรรยารีบโผเข้าหาวิลเลี่ยมด้วยความดีใจ แต่วิลเลี่ยมกลับแสดงสีหน้าไม่ยินดียินร้าย อีกทั้งยังต่อว่าภรรยาที่ทำแบบนั้นโดยกล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร ผมไม่รู้จักคุณ” นายแพทย์โรงพยาบาลแชริ่งครอสแนะนำให้วิลเลี่ยมไปพักกับภรรยาที่โรงแรมซาวอยเพื่อค่อยๆระลึกความทรงจำ
วิลเลี่ยมคุ้นๆว่าเขาถูกเรียกตัวไปรักษาคนป่วยเป็นฝีในสมองที่เมืองนิวยอร์ก แต่นึกชื่อคนป่วยไม่ได้ ภรรยาเริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง และตัดสินใจพักที่โรงแรมซาวอยจนกว่าวิลเลี่ยมจะจดจำทุกอย่างได้ แต่ความหวังต้องพังทลายลง เนื่องจากหลังจากพบหน้ากันได้เพียง 2 วัน วิลเลี่ยมก็เดินออกจากโรงแรมและหายตัวไปอีกครั้ง
ภรรยาออกตามหาตัววิลเลี่ยมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไร้ร่องรอย แม้แต่เงาก็ไม่เห็น จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1907 ว่ากันว่าเธอเสียชีวิตขณะที่กอดภาพถ่ายวิลเลี่ยมไว้ในอ้อมอก
คืนสู่เหย้า
ปี 1910 นายแพทย์ เจ.อี. เคลลีย์ อดีตเพื่อนร่วมงานของวิลเลี่ยม เดินทางไปเมืองแกรนด์ฟอร์กส์ รัฐนอร์ทดาโคตา เมืองเล็กๆที่มีประชากรเพียงแค่ 12,000 คน บังเอิญไปพบวิลเลี่ยมสหายเก่าเปิดคลินิกรักษาตาอยู่ที่นั่น
วิลเลี่ยมจำเพื่อนเก่าไม่ได้ แต่สนใจข้อเสนอที่จะร่วมกันวิจัยการรักษาอาการสายตาเสื่อมตามแนวทางของวิลเลี่ยม ทั้งคู่เดินทางกลับนิวยอร์ก เปิดคลินิกรักษาโรคสายตาเสื่อมร่วมกัน หลังจากนั้นวิลเลี่ยมก็กลับมาทำงานประจำเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลฮาร์เล็ม และแต่งงานกับเอมิลี่ เริ่มต้นชีวิตแบบคนปรกติใหม่อีกครั้ง
ปี 1917 วิลเลี่ยมคิดค้นวิธีถนอมดวงตาแบบใหม่ชื่อว่า “การบริหารดวงตาตามวิธีของเบตส์” ตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Physical Culture บทความของวิลเลี่ยมได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เพิ่มยอดขายให้กับวารสารแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ปี 1920 วิลเลี่ยมเขียนหนังสือของตัวเองชื่อเรื่อง Cure of Imperfect Eyesight by Treatment Without Glasses หรือการรักษาปัญหาทางสายตาโดยไม่พึ่งแว่นตา ในหนังสือมีภาพประกอบมากมายที่ต่อมาพบว่าวิธีการที่แนะนำในหนังสือเล่มนี้เป็นการให้ข้อมูลผิดๆ เช่น การพักสายตาด้วยการใช้อุ้งมือปิดตา การบริหารสายตาด้วยการกลอกลูกตาไปมา หรือเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นด้วยการจ้องมองดวงอาทิตย์
วิธีการของวิลเลี่ยมถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ร้อนถึงทางการต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซง แต่กว่าคณะกรรมาธิการการค้า (Federal Trade Commission) จะเข้ามาดูแลก็ปาเข้าไปปี 1929 ถึงกระนั้นก็ยังมีหลายคนหลงเชื่อว่าการรักษาตามวิธีของวิลเลี่ยมนั้นได้ผล ไม่จำเป็นต้องสวมแว่นสายตาอีกต่อไป
วิลเลี่ยมเสียชีวิตด้วยวัย 71 ปีเมื่อปี 1931 ทิ้งปริศนาการหายตัวไปอย่างลึกลับถึงสองครั้งสองคราอย่างน่าสงสัย หลายคนเชื่อว่าเขาเป็นโรคความจำเสื่อม แต่แพทย์จากเมโยคลินิกเห็นแตกต่างออกไป โดยให้เหตุผลว่าผู้ป่วยความจำเสื่อมแม้จะจดจำเหตุการณ์บางเหตุการณ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขารู้ว่าตัวเองเป็นใคร
อาการของวิลเลี่ยมใกล้เคียงกับโรคหลายบุคลิกมากกว่าโรคความจำเสื่อม เพราะเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร เดินทางไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย แต่ยังมีความสามารถทางการแพทย์เหมือนเดิมทุกประการ
วิลเลี่ยมกับผู้ช่วย
พักสายตาด้วยการใช้อุ้งมือปิดตา
ใช้แว่นขยายเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น
บริหารสายตาด้วยการเหลือกตาขึ้นลง
คนตาส่อน ก่อน (1) และหลัง (2) การรักษา
คนตาส่อน (1) รักษาด้วยการให้ตาขวามองตรงและตาซ้ายมองล่าง (2) ฝึกมองดินสอ (3) ตาเป็นปรกติหลังได้รับการรักษา (4)
เอมิลี่ เบตส์
You must be logged in to post a comment Login