- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 4 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“ดิอาจิโอรีเสิร์ฟเวิลด์คลาส” เดินหน้าเสริมศักยภาพบาร์เทนเดอร์ไทยสู่เวทีระดับโลก
ดิอาจิโอ” (DIAGEO)เปลี่ยนโฉมการดื่มและวัฒนธรรมค็อกเทลทั่วโลก ด้วยโปรแกรมอบรมและการแข่งขัน
มิกโซโลจิสต์ที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดดิอาจิโอ รีเสิร์ฟ เวิลด์ คลาส (DIAGEO Reserve World Class)มอบความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับบาร์เทนเดอร์กว่า 250,000 คน ใน 60 ประเทศทั่วโลกผ่านมุมมองและประสบการณ์ของสุดยอดฝีมืออย่าง ลอเรน โมเต (Lauren Mote)ดิอาจิโอ รีเสิร์ฟ แอนด์ เวิลด์ คลาส โกลบัล ค็อกเทลเลียน (DIAGEO Reserve & World Class Global Cocktailian) และเปาโล ฟิเกอเรโด(Paulo Figueiredo) โกลบัล แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์ของเคเทล วัน วอดก้า (Ketel One Vodka)
เพราะเชื่อว่าเครื่องดื่มอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความหลงใหลสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด จึงเข้าร่วมโครงการ DIAGEO Reserve World Classมาตั้งแต่ปี 2011 โดยปีนี้ไทยจะเข้าสู่การแข่งขันเวิลด์คลาสรอบสุดท้าย(DIAGEO Reserve World Class 2018 “Thailand Final”) ในเดือนเมษายน ซึ่งผู้ชนะจะได้เดินทางไปร่วมแข่งขันรอบสุดท้ายของโลกที่ประเทศเยอรมนีในเดือนสิงหาคม แต่ก่อนหน้านั้น บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันได้พัฒนาความสามารถและเสริมสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ศิลปะแห่งการรังสรรค์เครื่องดื่มกับสุดยอดมิกโซโลจิสต์ลอเรน โมเตเจ้าของตำแหน่งดิอาจิโอ รีเสิร์ฟ แอนด์ เวิลด์ คลาส โกลบัล ค็อกเทลเลียนและ เปาโล ฟิเกอิเรโด แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเคเทล วัน วอดก้า ที่นอกจากจะมาแชร์ประสบการณ์การทำงานระดับโลกแล้ว ยังร่วมอัพเดทเทรนด์เครื่องดื่มล่าสุด พร้อมรังสรรค์เครื่องดื่มแก้วพิเศษให้ได้ลิ้มลองณเดอะ แบมบู บาร์ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เมื่อไม่นานมานี้
ลอเรน โมเต (Lauren Mote)ไม่เพียงเป็นมิกโซโลจิสต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ยังเป็นทั้งพิธีกร นักพูด นักเขียน วิทยากรให้ความรู้ด้านการทำเครื่องดื่ม กรรมการตัดสินด้านค็อกเทล ที่ปรึกษาผู้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องดื่มซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้คนในวงกว้าง นอกจากนี้เธอยังทำหน้าที่รักษาการผู้อำนวยการของสมาคมบาร์เทนเดอร์อาชีพแห่งแคนาดา (Canadian Professional Bartenders Association) รวมถึงเป็นวิทยากรคนสำคัญให้กับเทลส์ ออฟ เดอะ ค็อกเทล (Tales of the Cocktail®) นับจากปี 2011 ด้วย โดยมีรางวัลการันตีมากมาย อาทิ ได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘บาร์เทนเดอร์แห่งปี’ (‘Bartender of the Year’) ในปี 2015 จากทั้งเวทีแวนคูเวอร์ แม็กกาซีน เรสเตอร์รองท์ อวอร์ดส (Vancouver Magazine Restaurant Awards) และ
ดิอาจิโอ เวิลด์ คลาส แคนาดา (DIAGEO World Class Canada) นอกจากนี้ในปี 2016 ลอเรนยังเป็นสุภาพสตรีชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รับการบรรจุชื่อใน “Dames Hall of Fame” อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “Best Bar Mentor” ในพิธีมอบรางวัล สปิริต อวอร์ด เซอริโมนี (Spirited Awards Ceremony) ประจำปีครั้งที่ 10 แต่ที่ทำให้เธอโด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือการได้รับแต่งตั้งให้เป็น ดิอาจิโอ รีเสิร์ฟ แอนด์ เวิลด์ คลาส โกลบัลค็อกเทลเลียน (DIAGEO Reserve & World Class Global Cocktailian) และผู้ร่วมก่อตั้ง
บิตเตอร์ สลิง บิตเตอร์ส (Bittered Sling Bitters)
ด้านเปาโล ฟิเกอเรโด (Paulo Figueiredo)มีชื่อเสียงในฐานะมิกโซโลจิสต์ระดับโลกและนักบริหารบาร์มืออาชีพ ค็อกเทลที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นสามารถสร้างความสุนทรีย์และเติมเต็มทุกอารมณ์ของนักดื่มได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเขาเคยทำงานให้กับบาร์ชื่อดังหลายแห่งก่อนจะมาร่วมกับดิอาจิโอในละตินอเมริกาและแคริบเบียน พัฒนาวัฒนธรรมค็อกเทลทุกระดับทั้งเวิลด์คลาส (World Class), บิซิเนส ออฟ บาร์ส (Business of Bars) และดิอาจิโอ บาร์ อคาเดมี (Diageo Bar Academy) กระทั่งปีที่ผ่านมาเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็น
โกลบัล แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์ของเคเทล วัน วอดก้า (Ketel One Vodka)
การมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้มิกโซโลจิสต์ทั้งสองท่านมอบแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบาร์เทนเดอร์อนาคตไกลผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่ไม่เพียงเป็นนักสร้างสรรค์เครื่องดื่ม แต่ยังเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของศิลปินและช่างฝีมือ ผู้มีจิตนาการในการสร้างสรรค์อย่างไร้ขีดจำกัด โดยลอเรนเล่าถึงความประทับใจของการมาเยือนกรุงเทพฯครั้งนี้ว่า “ทั้งเปาโลและฉันเห็นว่าอาหารไทยเป็นชนิดของอาหารที่พิเศษมาก และมีการใช้น้ำตาลอย่างที่ไม่เหมือนกับอาหารชาติอื่น เมนูหลายอย่างใส่น้ำตาล แต่อยู่ในสัดส่วนที่พอดี ดริ๊งค์ต่างๆที่เราดื่มในกรุงเทพฯ บาร์เทนเดอร์ใช้น้ำตาลเพื่อทำให้รสชาติกลมกล่อม เหมือนที่ใช้กับอาหาร เราไม่เคยพบเห็นที่ไหน และเป็นอะไรที่พิเศษไม่เหมือนใคร” นั่นจึงทำให้รู้สึกว่าเธอไม่ได้ให้ความรู้กับบาร์เทนเดอร์ไทยอยู่ฝ่ายเดียว แต่ยังได้รับแรงบันดาลใจดีๆ กลับคืนมาด้วย
ส่วนมุมมองต่อวงการบาร์เทนเดอร์ทั้งเปาโลและลอเรนเห็นพ้องต้องกันว่ายังมีพื้นที่ให้ศิลปินผู้มากฝีมือในการรังสรรค์เครื่องดื่มเติบโตขึ้นอีกมาก “ผมสังเกตเห็นว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาผู้คนทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจเรื่องค็อกเทลมากขึ้นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการทำค็อกเทลเองที่บ้านหรือออกไปดื่มข้างนอกโดยให้ความสำคัญในการเลือกเครื่องดื่มที่มีคุณภาพมากขึ้น” เปาโลกล่าว ก่อนที่ลอเรนจะเพิ่มเติมว่า
“เมื่อก่อนเราอาจจะเคยคิดว่าผู้นำด้านค็อกเทลน่าจะจำกัดอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ๆเช่น นิวยอร์ก ลอนดอน โตเกียว เท่านั้น แต่ตอนนี้เราเห็นแล้วว่าเมืองที่น่าสนใจอย่างกรุงเทพฯ แวนคูเวอร์ โจฮันเนสเบิร์ก และเม็กซิโก ซิตี้ ก็มีบทบาทในการสร้างสรรค์ค็อกเทลในแบบฉบับของตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับโปรแกรมเวิลด์คลาสก็คือ เรามีบาร์เทนเดอร์จาก 60 ประเทศที่นำไอเดียและวัฒนธรรมของประเทศตัวเองมาสร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วพิเศษและนำเสนอสู่สายตาผู้คนทั่วโลก จึงนับว่าวงการบาร์เทนเดอร์เปิดกว้างขึ้นมาก โดยเฉพาะโปรแกรมเวิลด์คลาสซึ่งเข้าถึงจุดที่กำลังพัฒนา พื้นที่ที่กลุ่มบาร์เทนเดอร์ยังเพิ่งเริ่ม และวงการนี้เพิ่งแจ้งเกิด เพื่อจะพัฒนาให้เติบโตต่อไปอย่างน่าตื่นเต้น สำหรับฉันคิดว่าการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่มาร่วมโปรแกรม รวมถึงการได้เห็นกลุ่มคนในแต่ละประเทศมุ่งมั่นที่จะทำอย่างเดียวกันกับที่ฉันเคยทำและยังทำตลอดมา เป็นประโยชน์และเปลี่ยนมุมมองของฉันไปมากทีเดียว ก็หวังว่าจากนี้ไปพวกเขาจะบินได้ไกลยิ่งขึ้นค่ะ”
นอกจากนี้ทั้งสองยังเล่าถึงเทรนด์การดื่มค็อกเทลในช่วงนี้ด้วย โดยลอเรนอธิบายว่า“เราพยายามสร้างเทรนด์ใหม่ของการดื่มโดยทำโปรแกรม the World Class Global ในเมืองเม็กซิโกเมื่อเดือสิงหาคม 2017 ก่อนจะเปิดตัวเทรนด์ใหม่ของการดื่มในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ซึ่งเทรนด์ที่กำลังมาเทรนด์แรกเลยก็คือการทำค็อกเทลดื่มเองที่บ้าน ฉันรักการค้นหาวัตถุดิบต่างๆ ที่มีอยู่และสร้างสรรค์ออกมาเป็นค็อกเทลแก้วหนึ่งด้วยตัวเองที่บ้านมากๆ ส่วนเทรนด์ที่สองคือการจับคู่ค็อกเทลกับอาหารเช่นเดียวกับการดื่มไวน์ โดยพิจารณาดูว่าอาหารแต่ละจานควรรับประทานคู่กับค็อกเทลแก้วไหน อาจจะดูจากความสดใหม่ของวัตถุดิบ ชนิดของน้ำตาล ความจัดจ้านของเมนูเพื่อหาคู่ที่เข้ากันที่สุด และเทรนด์ที่สามคือความยั่งยืน ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและพร้อมที่จะส่งต่อโลกใบนี้ให้กับคนรุ่นใหม่ ในทางของเราอาจจะทำได้ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากแหล่งที่มาอันหลากหลาย หรือเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลเป็นหลัก”
ด้านเปาโลเสริมว่า “อีกเทรนด์หนึ่งคือซิกเนเจอร์คอนเซ็ปท์ ซึ่งเป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ดื่ม นับตั้งแต่เดินเข้าไปในบาร์จนกระทั่งเดินออก บาร์เทนเดอร์ต้องใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ผู้ดื่มได้ผจญภัยอย่างเพลิดเพลินไปกับการดื่มด่ำเครื่องดื่มของคุณ” ซึ่งนั่นจะทำให้เครื่องดื่มทุกแก้วที่สร้างสรรค์ขึ้นมีความพิเศษมากกว่าที่เคย
สำหรับงานเลี้ยงต้อนรับในค่ำคืนที่ผ่านมาได้รับเกียรติจากมร. อัลแบร์โตอิเบอัส(Mr. Alberto Ibeas) กรรมการผู้จัดการ และพรเศก ภาคสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายขายกลุ่มผลิตภัณฑ์รีเสิร์ฟ บริษัท ดิอาจิโอ
โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย)ร่วมให้การต้อนรับมิกโซโลจิสต์ระดับโลก พร้อมเหล่าเซเลบริตี้ผู้หลงใหลในการดื่มที่มาร่วมเปิดประสบการณ์แห่งรสชาติของเครื่องดื่มสุดพิเศษที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างลงตัว
โอกาสนี้ผู้เข้าร่วมงานต่างก็ได้ลิ้มรสชาติเครื่องดื่มชั้นเลิศ 3 เมนูที่ลอเรน โมเต รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษ โดยนำส่วนผสมบางอย่างจากแคนาดาและรอบโลกมาผสานเข้ากับวัตถุดิบของไทยให้ออกมาเป็นค็อกเทลที่ลงตัวที่สุด เพื่อถ่ายทอดถึงเรื่องราวและความประทับใจต่างๆ ที่เธอได้ผ่านพบในระหว่างเดินทางโดยแก้วแรกคือ วาสต์ เวนทูร่า(Vast Ventura) ที่ได้แรงบันดาลใจจากทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ของฮอลแลนด์ ซึ่งลอเรนพยายามลบภาพเดิมๆ อันคุ้นตาออก แล้วบอกเล่าเรื่องราวขึ้นใหม่ด้วยเคเทล วัน วอดก้า, ดอกคาโมมาย, ขิง, และผลไม้ จนออกมาเป็นค็อกเทลแก้วสวยรสรื่นรมย์ที่ทุกคนต้องชื่นชอบ
แก้วที่สองคือ โอริโนโค จีเวล (Orinoco Jewel) ซึ่งผสมจอห์นนี่ วอคเกอร์ แบล็คเลเบิลเข้ากับน้ำแข็งบดน้ำตาลเล็กน้อย และสมุนไพรสด ให้รสชาติกลมกล่อมละมุนละไม เปรียบเหมือนแม่น้ำโอริโนโคที่ไหลจากยอดเขาสูงผ่านลงมาทางเหนือของโคลอมเบีย เวเนซูเอล่า ตอนเหนือของอเมริกาใต้ซึ่งเป็นการพัดพาแร่ธาตุและส่วนประกอบต่างๆ ลงมารวมไว้ในแม่น้ำใหญ่ จึงเกิดเป็นรสชาติอันเลิศรส
แก้วสุดท้ายคือซานตา มาเรีย (Santa Maria) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองกัวเตมาลา เป็นค็อกเทลที่ผสานรสชาติของเหล้ารัมพระเอกของแก้ว เข้ากับส่วนผสมอื่นซึ่งเป็นรสชาติของอเมริกาใต้ ทั้งเชอร์รี่, พีช,เครื่องเทศ จนได้เป็นค็อกเทลอันงดงามน่าหลงใหล ให้ความรู้สึกถึงควันเหมือนภูเขาไฟที่ยังระอุอยู่
ด้วยความเป็นมืออาชีพของมิกโซโลจิสต์ระดับโลกทั้งสองท่าน ลอเรน โมเตและเปาโล ฟิเกอเรโด ทำให้ตลอดค่ำคืน ณ แบมบู บาร์ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เปี่ยมไปด้วยความพิเศษเหนือระดับทั้งเครื่องดื่มที่ปรุงขึ้นเป็นพิเศษและบทสนทนาอันเต็มไปด้วยรสชาติ นับเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ที่รักการดื่มได้สัมผัสกับความรื่นรมย์ระดับเวิลด์คลาสอย่างแท้จริง
You must be logged in to post a comment Login