วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ตรวจต้อหิน รู้ทันก่อนสาย / โดย พญ.เกศรินท์ เกียรติเสวี

On April 6, 2018

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : พญ.เกศรินท์ เกียรติเสวี โรงพยาบาลกรุงเทพ

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 6-13 เมษายน 2561)

ต้อหินเป็นโรคทางดวงตาที่พบได้บ่อย หากไม่รักษามีอันตรายถึงขั้นตาบอด ซึ่งการสูญเสียการมองเห็นจากโรคต้อหินนั้นเป็นการสูญเสียแบบถาวร ไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนมามองเห็นดังเดิมได้ โรงพยาบาลกรุงเทพอยากให้คนไทยทุกคนใส่ใจรู้เท่าทันโรคต้อหิน เข้ารับการตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาต้อหินแต่เนิ่นๆ ซึ่งโรคต้อหินพบได้ทุกช่วงอายุ จากข้อมูลของชมรมต้อหินแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2560 มีผู้ป่วยต้อหินทั่วโลกมากกว่า 65 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มถึง 76 ล้านคนในปี 2020 หรือ พ.ศ. 2563

ผู้ป่วยโรคต้อหินแบบเฉียบพลันมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ สาเหตุของการเกิดต้อหินโดยส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย และเป็นกลุ่มโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงการทำลายขั้วประสาทตา ไม่มีสาเหตุและปัจจัยภายนอก ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคนี้ เพราะไม่มีอาการบอกล่วงหน้า

ชนิดของต้อหินแบ่งออกเป็น 1.ต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ได้แก่ 1.1 ต้อหินชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) เป็นต้อหินที่พบได้บ่อยกว่าต้อหินประเภทอื่น เกิดจากการอุดตันของ Trabecular meshwork (ทางระบายออกของน้ำในลูกตาอยู่ที่มุมตา) ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาไม่สามารถไหลเวียนออกได้ตามปรกติ เกิดความดันลูกตาสูง ส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลาย 1.2 ต้อหินชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) ต้อหินประเภทนี้พบได้น้อยกว่าต้อหินมุมเปิด เกิดจากมุมตาถูกม่านตาปิดกั้น ส่งผลให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปรกติ แบ่งออกเป็นต้อหินมุมปิดชนิดเฉียบพลันและต้อหินชนิดเรื้อรัง หากเป็นต้อหินแบบเฉียบพลันอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย และพบในผู้หญิงเอเชียค่อนข้างมาก

2.ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา เบาหวานขึ้นจอตา เป็นต้น และ 3.ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) มักพบในเด็กแรกคลอด-3 ปี เกิดจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่นๆ ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดต้อหินได้แก่ คนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป การใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน เกิดอุบัติเหตุทางตา เช่น การกระทบกระแทกที่ดวงตา จากพันธุกรรม เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน มีสายตาที่ผิดปรกติมาก เช่น สั้นมากๆ หรือยาวมากๆ (กรณีที่ไม่ใช่ภาวะสายตายาวในผู้สูงอายุ)

โรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาเพื่อควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงไปกว่าเดิมได้ โดยคนไข้จะต้องมาพบจักษุแพทย์ทุกๆ 3 เดือน ที่สำคัญเมื่อพบว่าเป็นโรคนี้ต้องรีบมารักษาโดยเร็ว ไม่ปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอดในทันทีได้ โดยมี 3 วิธีการหลักๆ ได้แก่ 1.การใช้ยา เช่น ยาหยอดตา ยารับประทาน และยาฉีด ซึ่งจักษุแพทย์จะรักษาทีละขั้นตอนแล้วดูผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด 2.เลเซอร์ ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ใช้เวลารักษาเพียงไม่นาน ส่วนใหญ่มักมีการให้ยาควบคู่ไปด้วยกัน 3.การผ่าตัด วิธีนี้จะใช้เมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยยาและเลเซอร์แล้วไม่ได้ผล โดยการผ่าตัดขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ การผ่าตัดรักษาต้อหินเป็นไปเพื่อลดความดันตา ไม่ใช่ผ่าตัดต้อออกไปแล้วหายขาด

การตรวจวินิจฉัยเพื่อเฝ้าระวังโรคต้อหินมีความสำคัญมาก เพราะโรคนี้ไม่มีสัญญาณเตือน ปัจจุบันโรคต้อหินพบในคนที่มีอายุเพียง 30 กว่าๆเพิ่มขึ้น บ่งบอกว่าในอนาคตคนที่เป็นโรคนี้จะมีอายุน้อยลง ดังนั้น ถ้าใครที่มีประวัติเสี่ยงหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาโดยเร็ว แต่ถ้าหากเป็นคนทั่วไปแนะนำให้ตรวจช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งการตรวจต้อหินในปัจจุบันสามารถทราบผลได้ทันทีด้วยการตรวจอย่างละเอียดโดยเครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Computerized Static Perimetry) ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคต้อหินได้อย่างชัดเจน

ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หากต้องใช้งานสมาร์ตโฟนตอนกลางคืนควรเปิดไฟให้สว่างเพื่อช่วยให้สบายตา ไม่ควรปิดไฟแล้วมองหน้าจอสมาร์ตโฟนที่มีแสงจ้า ทุกๆ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมงควรพักสายตาประมาณ 20 วินาทีถึงครึ่งนาที และควรหยอดน้ำตาเทียมแบบไม่มีสารกันเสียเพื่อป้องกันไม่ให้ตาแห้ง

ใส่ใจดูแลสุขภาพดวงตากันตั้งแต่วันนี้ เพราะดวงตาของเรามีเพียงคู่เดียวเท่านั้น


You must be logged in to post a comment Login