- อย่าไปอินPosted 19 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“อีเวนท์ปลูกป่า” ดราม่าไร้แก่นสาร
คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ “อีเวนท์ปลูกป่า” ดราม่าไร้แก่นสาร
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 27 เมษายน-4 พฤษภาคม 2561)
2 ปีก่อนมีข่าว โจอี้ บอย และสุหฤท สยามวาลา จะไปปลูกป่าที่จังหวัดน่าน นับเป็นสิ่งที่พึงอนุโมทนา แต่ผมขอฟันธงว่าต่อให้มี “1,000 โจอี้ บอย และสุหฤท” ก็ช่วยป่าไม้ไม่ได้ เพราะแท้จริงการปลูกป่าเป็นการมอมเมาประชาชนเพื่อทำลายป่า! ในแต่ละปีพื้นที่ที่ปลูกป่าได้ (ส่วนมากตายอีกต่างหาก) มีน้อยกว่าพื้นที่ที่ถูกทำลาย (ขนาดใหญ่กว่า กทม.) ต้องเน้นการปราบปราม ไม่ใช่ปลูก ควรใช้เงินให้ถูกทาง ปลูกป่าไม่ทำให้ชาติได้ป่า แต่ทำให้คนปลูกได้หน้า
อย่าฝันหวานไป ตามข่าวกล่าวว่าทั้งคุณอภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต (โจอี้ บอย) และคุณสุหฤท สยามวาลา ได้บริจาคเงินรวมกันร่วม 1 ล้านบาท เพื่อปลูกป่าประมาณ 500,000 ไร่ (bit.ly/26NAdh1) นับเป็นสิ่งที่พึงอนุโมทนาในความปรารถนาดีของทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่สังคมพึงทราบก็คือ เงินจำนวนนี้แทบไม่ส่งผลต่อการปลูกป่าเลย ท่านทราบหรือไม่ว่างบประมาณในการปลูกป่าตกเป็นเงินประมาณ 4,000 บาทต่อไร่ (bit.ly/1rgjSjY) ดังนั้น เงิน 1 ล้านบาทจึงปลูกได้เพียง 250 ไร่ ถ้าจะปลูก 500,000 ไร่ ต้องใช้เงินประมาณ 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญปลูกแล้วก็ใช่ว่าจะรอด ส่วนมากตายเสียอีก ขนาด ปตท. ยังปลูกป่าได้แค่ 1 ล้านไร่ (bit.ly/1Px1QCQ)
ท่านทราบหรือไม่ว่าปีหนึ่งๆป่าไม้ของไทยถูกทำลายไปประมาณ 1 ล้านไร่ (http://bit.ly/2hTgMSE) ท่านทราบหรือไม่ว่า 1 ล้านไร่ หรือ 1,600 ตารางกิโลเมตรนั้น กว้างใหญ่ขนาดไหน ถ้าเทียบแล้วก็มีขนาดใหญ่กว่ากรุงเทพมหานครที่มีขนาด 1,568 ตารางกิโลเมตรเสียอีก นายสืบ นาคะเสถียร ได้สละชีวิตของตนเองเพื่อเรียกร้องให้มีการรักษาป่าไม้ แต่เท่ากับท่านสละชีวิตไปสูญเปล่า เพราะป่าไม้ก็ยังหายไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เราไม่ควรอนุโมทนากับการฆ่าตัวตาย แต่สิ่งที่ท่านทำยิ่งใหญ่กว่าที่คุณโจอี้ บอย และคุณสุหฤททำมากมาย ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย
ประเด็นสำคัญที่พึงพิจารณาก็คือ เจ้าหน้าที่ปล่อยให้มีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากมายได้อย่างไร ทำไมไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง ที่ผ่านมามักมีข่าวเจ้าหน้าที่หรือ “ผู้มีสี” ฝ่ายต่างๆตัดไม้ทำลายป่ากันมากมาย แต่แทบจับมือใครดมไม่ได้ ดังนั้น การส่งเสริมการปลูกป่าให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไปช่วยกันปลูกอาจทำให้เป็นกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ที่น่ารักน่าชัง แต่ไม่มีประสิทธิผลแต่อย่างใด ป่าที่ปลูกมักตายในเวลาไม่ช้า การปลูกป่าก็ยิ่งไม่ได้ผล
ที่สำคัญที่สุดก็คือ การปลูกป่ากลายเป็นยาเบื่อเมาให้ประชาชนในเมืองเข้าใจว่าเป็นหนทางการแก้ไขปัญหาป่าไม้ ดังนั้น ใครที่ไปปลูกป่าก็จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญกันใหญ่ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ค่อยใส่ใจการปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า เพราะเป็นงานเสี่ยง งานยาก งานที่ต้องจริงจัง หากภาคเอกชนจะทำดีเพื่อป่าไม้ก็ควรร่วมกันบริจาคเงินเพื่อตั้งทีมอาสาสมัครกล้าตายไปช่วยกันรายงาน-เปิดโปงการบุกรุกทำลายป่ามากกว่าการปลูกป่า โดยจ้าง “มืออาชีพ” ไปสำรวจ เชื่อว่าการทำเช่นนี้คงช่วยปราบปรามการบุกรุกป่าได้ชะงัดทีเดียว
ในการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่านั้น รัฐบาลควรเน้นการปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าด้วยมาตรการทางกฎหมายเป็นสำคัญ ไม่ใช่การให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการปลูกป่า หากฉุกคิดกันสักนิด การส่งเสริมการปลูกป่าอาจเท่ากับเป็นการบิดเบือนประเด็น ทำให้สังคมส่วนรวมไม่มีโอกาสตระหนักถึงความจริงที่ทรัพยากรของประเทศถูกปล้นทำลายลงไปทุกวัน เพราะหลงนึกว่าป่าสามารถปลูกเสริมแทนพอกัน ในขณะที่การปลูกป่ากลายเป็นการมองทางออกของปัญหาแบบ “ม้าลำปาง” ที่กลายเป็นการช่วยไม่นำพา ไม่รบกวนการปล้นทำลายป่าโดยไม่ตั้งใจไป
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ผมขอเสนอแนวทางในการจัดการกับพวกบุกรุกทำลายป่าดังต่อไปนี้
1.การพิทักษ์ทรัพย์ในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพย์ซึ่งนำเข้ามาในพื้นที่อย่างผิดกฎหมาย
2.ส่งฟ้องศาล ตามกฎหมายทรัพย์เหล่านั้นย่อมตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน อย่าให้ใครอ้างความจนมาทำลายชาติ
3.ทำการประเมินค่าทรัพย์สินที่ดินนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดิน
4.จัดการประมูลโดยกรมบังคับคดีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้เพื่อการใช้ประโยชน์ นำรายได้เข้ารัฐ
5.นำเงินที่ได้จากการประมูลมาใช้เพื่อการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าในขอบเขตทั่วประเทศต่อไป
หากทางราชการสามารถดำเนินการได้เช่นนี้ก็จะเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นบรรทัดฐานในการจัดการป่าไม้ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐหรือของส่วนรวมเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายต่อไป โปรดจำไว้ว่า
1.ป่าถูกทำลายไปขนาดพอๆกับพื้นที่ทั้ง กทม. ปลูกเท่าไรก็ไม่ทันการทำลาย เราจึงต้องเน้นการปราบปราม
2.ค่าปลูกป่าให้ยั่งยืนตกเป็นเงินไร่ละ 4,000 บาท โจอี้ บอย+สุหฤทบริจาค 1 ล้าน ก็ปลูกได้แค่ 250 ไร่ ไม่ใช่เป็นแสนไร่ แถมที่เขาปลูกๆกันมายังตายเกือบหมด
อย่าลืมคำผู้ว่าฯน่านที่ว่า “หยุดอีเวนท์ปลูกป่าที่ทำกันเพียงเกณฑ์คนมาปลูก ถ่ายรูป จบงาน” (bit.ly/1rQopKM) ทำไปไร้ผล คนทำได้หน้า!
You must be logged in to post a comment Login