- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 2 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 2 months ago
- โลกธรรมPosted 2 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
เสียดายงบ?

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
การสร้างความสามัคคีปรองดองเป็นเป้าหมายหลักเป้าหมายหนึ่งในการเข้ามายึดอำนาจของ คสช. แต่หลังถือครองอำนาจมาเกือบครบ 4 ปี บรรยากาศในบ้านเมืองไม่มีไรเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่าสามัคคีปรองดอง แม้จะมีการใช้งบประมาณไปเป็นหลักร้อยล้านบาทในหลายหน่วยงานเพื่อทำโครงการต่างๆ คำถามคือมีการประเมินผลที่ได้จากการดำเนินการหรือไม่ว่ามีความคุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไปมากน้อยเพียงใด แม้การใช้งบประมาณไม่ออกดอกออกผลอย่างที่ต้องการ แต่ยังคิดทำโครงการเพื่อใช้งบประมาณต่อไปเรื่อยๆ เห็นว่าโค้งสุดท้ายของโรดแม็พ ก่อนถึงวันเลือกตั้งจะมีแคมเปญใหญ่ออกมาอีก
ยังจำ “สัญญาประชาคมเพื่อความสามัคคีปรองดอง” ได้หรือไม่
ถึงจะดูเงียบๆไป ไม่ขึงขังจริงจังเหมือนตอนเปิดตัวโครงการที่ประกาศจะดึงพรรคการเมืองมาร่วมลงนามในสัญญาประชาคมเพื่อให้เกิดความสามัคคีปรองดองอย่างยั่งยืน
แต่โครงการนี้จะยังเดินหน้าต่อเนื่อง
นอกจากตัวสัญญาประชาคมเพื่อความสามัคคีปรองดองแล้ววันนี้ยังเปิดตัว มาสคอต “น้องเกี่ยวก้อย” มาทำหน้าที่ในฐานะทูตปรองดอง อย่างเป็นทางการ
ความจริง “น้องเกี่ยวก้อย” เคยเปิดตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ยับเรื่องรูปร่างหน้าตาและการแต่งกาย ต้องกลับไปปรับโฉมกันมาใหม่ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อไม่นานที่ผ่านมา
สาระสำคัญของงานนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวมาสคอต ไม่ได้อยู่ที่ตัวสัญญาประชาคมเพื่อความสามัคคีปรองดอง ที่เสียงบประมาณจ้างคนมานั่งระดมสมองก่อนสรุปออกมาได้ 10 ข้อ
เป็น 10 ข้อที่ถูกมองว่าไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องเก่าๆ เดิมๆ ที่เคยมีการศึกษาและเสนอกันมาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยถูกนำไปปฏิบัติเกิดผลอย่างจริงจังจากผู้ถือครองอำนาจ
แม้แต่ในรัฐบาลทหารชุดปัจจุบันก็แทบไม่ได้เดินตามสัญญาประชาคมที่ตัวเองตั้งคนมาศึกษาและร่างขึ้นมาแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัญญาประชาคมเพื่อความสามัคคีปรองดองข้อแรกที่ให้ร่วมกันสร้างบรรยากาศสามัคคีปรองดอง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ร่วมกันสร้างสถานบันการเมืองให้เข้มแข็งเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นฉันทามติของคนไทยทั้งประเทศ
จะเห็นได้ว่าบรรยากาศบ้านเมืองในปัจจุบันไม่มีอะไรแตกต่างไปจากบรรยากาศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ทั้งที่สัญญาประชาคมฯนี้ถูกประกาศออกมาหลายเดือนแล้ว และมีการนำไปเผยแพร่ในระดับต่างๆอย่างกว้างขวางจากหน่วยงานรัฐ
คำถามคือเราเสียงบประมาณเพื่อการนี้ไปทำไม
มีการประเมินผลที่ได้จากการดำเนินการหรือไม่ว่ามีความคุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไปมากน้อยเพียงใด
แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนแต่โครงการนี้ก็น่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่าหลักสิบล้านบาทหากนับตั้งแต่ค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการที่ระดมสมองก่อนได้สัญญาประชาคมฯออกมา 10 ข้อ
ยังไม่รวมการให้หน่วยงงานภาครัฐจัดอีเว้นท์ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อเผยแพร่สัญญาประชาคมฯกับประชาชนทั้งในระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับภูมิภาค
ถ้านับรวมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำโครงการโดยประกาศเป้าหมายเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่ไม่เกี่ยวกับสัญญาประชาคมฯอีกหลายโครงการ ทั้งในส่วนของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงกลาโหม ฯลฯ น่าจะใช้งบประมาณเพื่อสร้างความปรองไปแล้วหลักร้อยล้านบาทขึ้นไป
ไม่ว่าจะเดินแจกสัญญาประชาคมฯสักกี่แผ่น ไม่ว่าจะจัดอีเว้นท์ จัดประชุมกี่ครั้ง หากผู้คุมอำนาจสูงสุดไม่แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าบริหารบ้านเมืองและใช้อำนาจโดยยึดหลักตามสัญญาประชาคมฯ การจะให้สัมฤทธิ์ผลตามโครงการคงเป็นเรื่องยาก
ท้ายที่สุดโครงการนี้จะล้มเหลว ว่างเปล่า เป็นการใช้งบประมาณแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่เกิดผลใดๆในทางปฏิบัติ
อย่างไรก็ตามแม้การทำสัญญาประชาคมฯจะส่อไปในทางล้มเหลว แต่ก็ยังมีข่าวว่า โค้งสุดท้ายของโรดแม็พ ก่อนถึงวันเลือกตั้งจะเห็น “แคมเปญใหญ่” ออกมาอีกครั้ง
ยังไม่มีใครรู้ว่า “แคมเปญใหญ่” ก่อนการเลือกตั้งที่ว่าคืออะไรต้องใช้งบประมาณอีกเท่าไหร่
แต่คงเดาผลที่จะได้จากการทำโครงการล่วงหน้าไม่ยาก
You must be logged in to post a comment Login