วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ป้าขวานพิฆาต / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On May 11, 2018

คอลัมน์ : ร้ายสาระ

ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 11-18 พฤษภาคม 2561)

หญิงชราคว้าขวานบุกเดี่ยวเข้าทำลายร้านจำหน่ายสุราจนพังราบ แต่ไม่มีใครกล้าแจ้งความเอาผิด เพราะในยุคสมัยนั้นสุราเป็นสิ่งผิดกฎหมาย วีรกรรมของเธอผลักดันให้มีการปราบปรามอย่างจริงจังในเวลาต่อมา แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม

ความรุนแรงในครอบครัวมีสาเหตุหนึ่งมาจากการเมาสุราของหัวหน้าครอบครัว ด้วยเหตุนี้เองเหล่าแม่บ้านในเมืองฮิลส์โบโร รัฐโอไฮโอ จึงรวมตัวกันก่อตั้งกลุ่มต่อต้านการเสพสุราเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1873 ใช้ชื่อว่า Woman’s Christian Temperance Union (WCTU) หรือสหภาพหญิงคริสเตียนต่อต้านของมึนเมา

สมาชิกกลุ่ม WCTU จัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านการเสพของมึนเมาอย่างต่อเนื่องโดยที่แทบไม่มีผลกระทบใดๆกับธุรกิจจำหน่ายสุราแม้แต่น้อย จนกระทั่งมีสมาชิกใหม่คนหนึ่งที่ดำเนินการต่อต้านการจำหน่ายสุราแบบถึงลูกถึงคน ถึงขั้นลงไม้ลงมือบุกทำลายร้านจำหน่ายสุรา

สมาชิกใหม่

แคร์รี่ อมีเลีย มัวร์ เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1846 เป็นบุตรสาวเกษตรกรเคนทักกี หลังจากเธอเกิดไม่นานครอบครัวก็ประสบปัญหาทางการเงินจนต้องย้ายที่ทำกินบ่อยครั้ง แม่ของเธอเป็นโรคประสาทหลอนคิดว่าตัวเองเป็นราชินีวิกตอเรียของประเทศอังกฤษ แต่การที่ครอบครัวย้ายที่ทำกินบ่อยครั้งทำให้เพื่อนบ้านไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปรกติ

แคร์รี่เป็นคนเคร่งศาสนา เธอพกพระคัมภีร์ไบเบิลไว้กับตัวตลอดเวลา ต่อมาในปี 1867 แคร์รี่แต่งงานกับนายแพทย์ ชาร์ล กลอยด์ โดยไม่รู้มาก่อนว่าเขาติดสุราอย่างหนัก ทำให้ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่นนัก เธอตัดสินใจหย่ากับนายแพทย์ชาร์ลในปีถัดมาก่อนที่จะให้กำเนิดชาร์ลีน ทารกเพศหญิงที่มีปัญหาทางจิตและมีความผิดปรกติทางร่างกายหลายแห่ง

ปี 1869 ชาร์ลเสียชีวิตด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง แคร์รี่เชื่อว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษจากการที่สามีเธอติดสุรา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแคร์รี่ก็เกลียดสุราอย่างเข้ากระดูกดำ

ปี 1874 แคร์รี่แต่งงานใหม่กับเดวิด เอ. เนชั่น ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอถึง 19 ปี พวกเขาย้ายถิ่นฐานอีกครั้งมายังเมืองริชมอนด์ รัฐแคนซัส ซึ่งที่นี่เองแคร์รี่ได้รู้จักกับสหภาพหญิงคริสเตียนต่อต้านของมึนเมา เธอสมัครเข้าเป็นสมาชิกอย่างไม่ลังเล

กระดาษเปื้อนหมึก

ปี 1880 รัฐแคนซัสออกกฎหมายห้ามจำหน่ายสุรา แต่กฎหมายใหม่ไม่แตกต่างอะไรไปจากกระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้น เพราะไม่มีคนปฏิบัติตามข้อห้ามนี้ ร้านจำหน่ายสุรายังคงมีอยู่ทุกหัวมุมถนน สหภาพหญิงคริสเตียนต่อต้านของมึนเมาจึงเริ่มออกปฏิบัติการ

สมาชิก WCTU รวมตัวกันสวดมนต์หน้าร้านจำหน่ายสุรา ทักทายเจ้าของร้านจำหน่ายสุราด้วยประโยค “สวัสดี ผู้ทำลายจิตวิญญาณมนุษยชาติ” และผลลัพธ์คาดเดาได้ไม่ยากว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับพวกเธอแม้แต่น้อย

การประท้วงหน่อมแน้มดำเนินไปนานนับสิบปีโดยไม่เกิดผลใดๆ จนกระทั่งวันที่ 5 มิถุนายน 1900 แคร์รี่แว่วได้ยินเสียงว่า “จงไปที่คิโอวา” มันเป็นเสียงแผ่วเบาจนคล้ายเสียงพึมพำ “ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ”

แคร์รี่ทำตามที่เสียงแว่วในหูแนะนำ เธอเดินทางไปที่โรงแรมคาเรย์ เมืองคิโอวา เมื่อไปถึงแคร์รี่เก็บอิฐและหินข้างถนนก่อนเดินตรงเข้าไปในบาร์ของโรงแรม เธอประกาศลั่น “ฉันมาเพื่อปกป้องพวกเธอจากปิศาจสุรา” กล่าวจบเธอก็ขว้างอิฐและหินทำลายขวดสุราจนแตกกระจายเกลื่อน ก่อนเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กำเนิดขุนขวาน

เดวิด สามีของแคร์รี่ ขบขันในพฤติกรรมของเธอ เขาพูดประชดว่าก้อนอิฐก้อนหินทำลายข้าวของได้ไม่เยอะ ถ้าจะให้ดีต้องใช้ขวานจามมันให้แหลกไปทั้งร้าน แต่เรื่องตลกของเดวิดกลับกลายเป็นความจริง เพราะแคร์รี่เห็นดีด้วย

แคร์รี่แต่งชุดคลุมยาวสีดำเพื่อซ่อนขวาน ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเธอ แคร์รี่กลับไปที่โรงแรมคาเรย์อีกครั้ง เธอประกาศก้อง “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ความสงบสุขบนพื้นพิภพและความปรารถนาดีแด่มวลมนุษยชาติ” กล่าวจบแคร์รี่ก็เอาขวานไล่จามไปที่ขวดเหล้า ถังเบียร์ ภาพเขียนบนผนัง กระจกแต่งร้าน โต๊ะ เก้าอี้ เรียกว่าฟันเละไม่เลือกเป้า

ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดขวาง เพราะแคร์รี่เป็นหญิงร่างใหญ่ สูง 180 ซม. น้ำหนักกว่า 80 กก. แถมยังมีขวานอยู่ในมือ อีกทั้งยังไม่มีใครกล้าแจ้งตำรวจ เพราะร้านจำหน่ายสุรานั้นผิดกฎหมายถึงแม้จะไม่มีใครปฏิบัติตามก็ตาม

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแคร์รี่ก็ออกเดินสายถือขวานทำลายร้านจำหน่ายสุราตามเมืองต่างๆจนไม่มีเวลาทำหน้าที่ภรรยา ทำให้เดวิดดำเนินการฟ้องหย่าด้วยเหตุผลว่าถูกภรรยาทอดทิ้ง ถึงแม้จะอยู่กินกันนานถึง 24 ปี แต่ทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน เพราะแคร์รี่ต่อต้านการเสพเมถุนเช่นเดียวกัน

ค้ำจุนประเทศ

แคร์รี่กลายเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านการเสพสุรา เธอตัดสินใจสะกดชื่อของเธอเสียใหม่ว่า Carry ซึ่งแปลว่าค้ำจุน บวกกับนามสกุลสามี A. Nation กลายเป็นสโลแกนการต่อต้านการเสพสุรา Carry A Nation หรือค้ำจุนประเทศ

วีรกรรมของแคร์รี่เป็นที่กล่าวขานกันทั่วประเทศ เธอก้าวถึงจุดสูงสุดในปี 1902 คนทั้งประเทศรู้จักชื่อแคร์รี่ เอ. เนชั่น แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็ถูกมองว่าเป็นคนเพี้ยน ไม่เต็มเต็ง อย่างไรก็ตาม แคร์รี่ไม่ยอมแพ้ เธอยังคว้าขวานไล่จามร้านจำหน่ายสุราอย่างต่อเนื่อง

ตลอดระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 1900-1910 แคร์รี่เดินสายทำลายร้านจำหน่ายสุราในรัฐแคนซัส โอคลาโฮมา มิสซูรี และอาร์คันซอ แต่บางรัฐไม่มีกฎหมายห้ามจำหน่ายสุรา ทำให้เธอถูกจับกุมมากกว่า 30 ครั้ง จนกระทั่งเดือนมกราคม 1910 แคร์รี่ก็เจอคนจริงเข้าให้เมื่อเธอพยายามเข้าไปทำลายร้านจำหน่ายสุราแห่งหนึ่งในรัฐมอนแทนา เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงสาวต่อสู้จนทำให้แคร์รี่ได้รับบาดเจ็บ

ทรัพย์สินเงินทองของแคร์รี่ถูกใช้ไปกับค่าใช้จ่ายในการทำลายร้านจำหน่ายสุราและค่าปรับ เธอเสียชีวิตแบบคนอนาถาในวันที่ 2 มิถุนายน 1911 ไม่ทันได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายห้ามจำหน่ายสุราแบบจริงจังทั่วประเทศในปี 1920

หากเธอยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้นก็จะได้เห็นผลลัพธ์จากการบังคับใช้กฎหมายห้ามจำหน่ายสุราอย่างจริงจังชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด ผลพวงที่ตามมาคือกลายเป็นต้นกำเนิดของแก๊งลักลอบต้มเหล้าเถื่อน การแก่งแย่งขยายเขตอิทธิพล การยกพวกยิงกันกลางถนนตอนกลางวันแสกๆ กลายเป็นยุคอันธพาลครองเมืองอย่างแท้จริง จนจำเป็นต้องยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ไปในปี 1933 นำธุรกิจเถื่อนกลับขึ้นมาบนดินเพื่อจะได้ควบคุมได้

คนดีในอุดมคติกับโลกในความเป็นจริงไปด้วยกันไม่ได้ ตราบใดที่คนทั่วไปยังไขว่คว้าหาอบายมุข พวกเขาย่อมดิ้นรนหาหนทางเข้าถึงจนได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วิธีควบคุมที่ดีที่สุดไม่ใช่การบีบบังคับห้ามกระทำ เพราะจะให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจใต้ดิน ยิ่งปราบปรามยากยิ่งกว่าเดิม แต่เป็นการนำสิ่งเหล่านั้นมาไว้ในที่สว่างเพื่อให้ง่ายต่อการจัดระเบียบ หรือว่าไม่จริง?

1

1.แคร์รี่ เอ. เนชั่น กับไบเบิลและขวานคู่ใจ

2

2.แคร์รี่ในวัยสาว

3

3.สหภาพหญิงคริสเตียนต่อต้านของมึนเมา

4

4.เดวิด เอ. เนชั่น

5

5.แคร์รี่สั่งสอนผู้ชายตามริมถนน

6

6.แคร์รี่ถือขวานออกล่าเหยื่อ

7

7.แคร์รี่กับสมาชิกกลุ่ม WCTU

8

8.สภาพบาร์ในโรงแรมคาเรย์

9

9.ลังบรรจุขวดสุราถูกขวานจามเสียหาย

10

10.แคร์รี่ถูกตำรวจควบคุมตัว

11

11.แคร์รี่ในห้องขัง


You must be logged in to post a comment Login