- อย่าไปอินPosted 19 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เมื่อวิญญาณจุติในครรภ์
คอลัมน์สันติธรรม “เมื่อวิญญาณจุติในครรภ์”
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 18-25 พฤษภาคม 2561)
คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรโรมันไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซียเป็นมหาอำนาจของโลก 2 มหาอาณาจักรนี้มีความเข้มแข็งเกรียงไกรทางด้านการทหาร มีการสะสมความรู้ไว้มากมายจนเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมที่สำคัญของโลก
ในช่วงเวลานั้นคาบสมุทรอาหรับยังอยู่ในสภาพอวิชชา ป่าเถื่อน และไร้อารยธรรม แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม ภายในเวลา 23 ปี ชาวอาหรับที่เคยกักขฬะ หยาบช้าป่าเถื่อน เป็นที่ดูถูกของชนชาติอื่น ได้กลับกลายเป็นผู้สร้างอารยธรรมของโลกในเวลาต่อมา
แม้เมืองมะดีนะฮฺในแผ่นดินอาหรับเป็นต้นกำเนิดอารยธรรมอิสลาม แต่ในคาบสมุทรอาหรับกลับไม่มีซากสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตและมีการประดับประดาอย่างสวยงามเหมือนในอาณาจักรโรมันและเปอร์เซีย เหตุผลประการหนึ่งก็คืออิสลามเป็นอารยธรรมทางด้านจิตวิญญาณ
ทั้งชาวอาหรับและชาวยิวในแผ่นดินอาหรับ รวมทั้งผู้ปกครองของ 2 มหาอาณาจักร รู้ดีว่านบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือ แต่พระเจ้าได้ประทานความรู้ที่สำคัญหนึ่ง ซึ่ง 2 มหาอาณาจักรในเวลานั้นไม่มี นั่นคือความรู้เรื่องวิญญาณ
ประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว ขณะที่ 2 มหาอาณาจักรของโลกยังไม่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ นบีมุฮัมมัดได้เฉลยปัญหาเกี่ยวกับชีวิตทั้งทางด้านร่างกายและวิญญาณไว้อย่างน่าสนใจว่า
“วิธีการที่พวกท่านแต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาก็คือ ท่านได้ถูกรวมเข้าไว้ในรังไข่ของแม่ของท่านเป็นเวลา 40 วันในตอนที่เป็นหยดเชื้ออสุจิ หลังจากนั้นในระยะเวลาเท่าๆกันก็เป็นก้อนเลือด และหลังจากนั้นก็เป็นก้อนเนื้อในเวลาเท่าๆกัน หลังจากนั้นมะลาอิก๊ะฮฺ (ทูตสวรรค์) องค์หนึ่งจะถูกส่งมาเป่าวิญญาณเข้าไปในท่าน และมีหน้าที่ทำตามคำบัญชา 4 ประการ นั่นคือ กำหนดปัจจัยยังชีพของท่าน ช่วงอายุของท่าน การงานของท่าน และท่านจะทุกข์หรือสุข”
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการบอกถึงวิวัฒนาการของชีวิตมนุษย์ในครรภ์ทีละขั้นตอนในขณะที่โลกยังไม่มีเครื่องเอกซเรย์และอัลตราซาวนด์ฉายภาพให้เราได้เห็นเหมือนในปัจจุบัน จนเมื่อโลกมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์แล้วมนุษย์จึงได้รู้ความจริง แต่กระนั้นเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจับภาพการเป่าวิญญาณเข้าไปในก้อนเนื้อที่มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลา 120 วันได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะความรู้เรื่องวิญญาณไม่ได้อยู่ในอาณาจักรทางวิทยาศาสตร์ แต่ความรู้เรื่องวิญญาณอยู่ในอาณาจักรของศาสนา
ก้อนเนื้อในครรภ์ที่ยังไม่มีวิญญาณยังไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นการเป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ แต่เมื่อก้อนเนื้อถูกเป่าวิญญาณเข้าไป ความเป็นชีวิตมนุษย์จึงได้เริ่มต้น ในคำพูดของนบีมุฮัมมัดอีกตอนหนึ่งยังกล่าวด้วยว่าการกำหนดเพศมนุษย์มีขึ้นตรงที่มีการเป่าวิญญาณเข้าไป
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ คำพูดดังกล่าวข้างต้นยังเป็นการให้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องการลิขิตชีวิตมนุษย์ด้วย ก่อนหน้านี้มนุษย์มีความเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตอยู่บ้างแล้ว เพราะเรื่องนี้มีอยู่ในคำสอนทางศาสนาอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่มนุษย์จะเข้าใจว่าใครเป็นผู้สร้างคนนั้นต้องเป็นผู้กำหนด เมื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้าง (พรหม) จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พระองค์ต้องเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่มนุษย์
กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นกฎที่ถูกกำหนดหรือลิขิตไว้สำหรับมนุษย์เช่นกัน แต่การลิขิตชีวิตมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครรู้ จนกระทั่งนบีมุฮัมมัดมาเฉลยไว้ในคำพูดดังกล่าวข้างต้นของท่าน
You must be logged in to post a comment Login