- อย่าไปอินPosted 14 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ชีวิตที่ต้องช่วยกันรักษา
คอลัมน์สันติธธรรม “ชีวิตที่ต้องช่วยกันรักษา”
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 1-8 มิถุนายน 2561)
ศาสนาถูกส่งมาเพื่อชีวิต ดังนั้น หนึ่งในหน้าที่ร่วมกันของทุกศาสนาคือ การสอนมนุษย์ให้รู้จักชีวิต รู้จักที่มา รู้จักวัตถุประสงค์ของชีวิต และรู้จักการใช้ชีวิต
ไม่มีศาสนาใดในโลกสอนว่าชีวิตเกิดขึ้นมาเอง แต่ชีวิตถูกสร้างมาโดยพระเจ้า และชีวิตมิได้ถูกสร้างมาอย่างไร้วัตถุประสงค์ เมื่อมนุษย์มิได้เป็นผู้สร้างชีวิต มนุษย์จึงมิใช่เจ้าของชีวิต และมนุษย์มีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตให้อยู่ยาวนานที่สุดเท่าที่จะยาวนานได้ ไม่เพียงแต่ชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตของคนอื่น ชีวิตสัตว์ และชีวิตพืชด้วย
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมทุกศาสนาจึงสั่งห้ามฆ่าชีวิต และถือว่าการฆ่าชีวิตเป็นบาปที่ต้องถูกลงโทษ ดังนั้น ศาสนาจึงมีบทบัญญัติกำหนดโทษการฆ่าไว้เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการฆ่าชีวิตอีก ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าผู้ฆ่ายังไม่ถูกลงโทษในชีวิตนี้ หรือการลงโทษผู้ฆ่าในโลกนี้ยังไม่สาสมกับพฤติกรรมความผิด ศาสนาจะมีบทลงโทษที่แสนสาหัสรอฆาตกรไว้ในโลกหน้า ทั้งนี้ เพื่อความยุติธรรมที่แท้จริง
นอกจากจะกำหนดหน้าที่ให้มนุษย์รักษาชีวิตให้อยู่ยาวนานที่สุดแล้ว ศาสนายังกำหนดว่ามนุษย์มีหน้าที่รักษาชีวิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วย ทั้งนี้ เพื่อที่มนุษย์จะได้ส่งคืนชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์แก่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตเหมือนเมื่อตอนแรกที่ชีวิตถูกส่งมาในรูปของทารกที่ชีวิตสะอาดบริสุทธิ์
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทุกศาสนาจึงมีคำสั่งห้ามกินอาหารที่เป็นพิษภัยต่อร่างกาย และสร้างความสกปรกให้แก่ชีวิตด้านจิตวิญญาณ สุราและสิ่งมึนเมาจึงเป็นสิ่งต้องห้ามในทุกศาสนา เพราะมันเป็นแม่ของความชั่วที่ทำลายทั้งสติปัญญา ร่างกาย และจิตใจ
ถ้าสติปัญญาของมนุษย์ถูกทำลาย ไม่สามารถแยกผิดแยกถูกได้ มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ที่ไม่มีสติปัญญา แต่มนุษย์มีความสามารถมากกว่าสัตว์ ถ้ามนุษย์ทำความผิดบาป มนุษย์สามารถทำสิ่งเลวร้ายได้มากกว่าสัตว์
ทุกศาสนามีคำสอนให้บริจาคทานเพื่อเป็นการชำระล้างมลทินหรือสิ่งสกปรกอย่างหนึ่งที่เกาะกินจิตใจ และเป็นต้นเหตุทำให้มนุษย์ไม่อยากช่วยเหลือกัน นั่นคือความขี้เหนียว
มลทินแห่งความขี้เหนียวของคนมั่งมีไม่กี่คนจะสร้างความอิจฉาริษยาที่เป็นมลทินทางจิตใจของคนจนมากมายที่อยู่รอบข้าง หลายคนอาจทำใจระงับความอิจฉาริษยาไว้ได้ แต่มนุษย์มีความคิดจิตใจที่ไม่เหมือนกัน แค่มนุษย์เพียง 2-3 คนเกิดความอิจฉาริษยา และไม่อาจยับยั้งกิเลสได้จนถึงขั้นปล้นชิงทรัพย์สิน สังคมมนุษย์ก็ไม่มีความปลอดภัย
ดังนั้น การบริจาคทานจึงเป็นการทำความสะอาดจิตใจภายในของผู้บริจาค เป็นการป้องกันความอิจฉาริษยาในใจของคนอื่น เป็นการรักษาความสงบและป้องกันภัยทางสังคม
ความละอายเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ มนุษย์จึงสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อปกปิดสิ่งพึงละอาย คำสอนของศาสนาถูกส่งมาเพื่อยืนยันธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ดังนั้น ศาสนาจึงสั่งให้มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิดเพื่อรักษาความละอายที่เป็นธรรมชาติอันมีค่าไว้ นักบวช นักบุญ และแม่ชี จึงถูกกำหนดให้เป็นต้นแบบการแต่งกายของผู้รักษาความละอาย
การแต่งกายปกปิดมิดชิดไม่เพียงแต่เป็นการรักษาความละอายเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันจิตวิญญาณของคนรอบข้าง โดยเฉพาะเพศตรงข้าม มิให้เกิดตัณหาราคะอันเป็นมลทินที่นำไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศ อาชญากรรมทางเพศ และการผิดประเวณีที่ทุกศาสนาถือว่าเป็นบาปใหญ่
การสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดมิดชิดจึงถือเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง และเป็นดัชนีชี้วัดถึงความเจริญทางศีลธรรมของคนในสังคม
You must be logged in to post a comment Login