วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

20 ปีนอนมา..หรือมานอน?

On June 14, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 15-22 มิถุนายน 2561)

“ใครที่หลับในวันหน้าก็เป็นอะไรไม่ได้อีกต่อไปอยู่แล้ว ผมดูไว้หมด ส่วนพวกที่หลับก็ไปนอนที่บ้าน วันนี้ก็อยู่ให้จบไปก่อน ซึ่งเขาก็ทำงานในส่วนอื่น อย่าไปจับผิดจับถูกในเรื่องแบบนี้จนเรื่องใหญ่ มันไม่มีสาระ ไม่มีสักอัน”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่พอใจที่สื่อและสังคมออนไลน์เผยแพร่ภาพสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หลับระหว่างนายกรัฐมนตรีชี้แจงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และบอกว่าได้ส่งภาพให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. แล้ว ซึ่งท่านจะไปกำชับกันเอง

ไม่มีสปิริต ไม่มียางอาย

พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ให้ความเห็นใน “โลกวันนี้รายวัน” คอลัมน์ “สำนักข่าวพระพยอม” ว่า สมาชิก สนช. ที่หลับคาห้องประชุมจะหลับหูหลับตาและรับเงินเดือนรับผลประโยชน์ต่างๆไม่ต่างกับการปล้นภาษีประชาชน พอมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ออกมาแก้ตัว ส่วนช่างภาพถ่ายภาพนอนแอ้งแม้ง นักข่าวก็ต้องนำมาเสนอ ถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง แต่นายกฯกลับลมออกหูเมื่อถูกถาม

“การนอนหลับในที่ประชุมมีทุกยุคทุกสมัย หลับบ้าง ดูภาพโป๊บ้าง ไม่สนใจการประชุม ไม่สนใจว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่อะไร ถ้าเป็นญี่ปุ่นหรือบางประเทศที่เขามีสปิริต เขาคืนเงินเดือนหรือลาออกไปเลยก็มี แค่มาสายยังลาออก แต่คนไทยเราคงยาก เราไม่มีสปิริต ไม่มียางอาย ไม่สำนึกในหน้าที่”

สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ โพสต์เฟซบุ๊คว่า ฯพณฯ “ลักหลับ” มา 4 ปีกว่าแล้วนะ ทั้งแจกแจงว่า สนช. ได้รับเงินเดือนจากภาษีของราษฎร 113,560 บาท เป็นเงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท เงินเพิ่ม 42,330 บาท ถามว่า สนช. ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. มีทั้งหมดกี่คน ได้รับเงินเดือนที่มาจากเงินภาษีของราษฎรเป็นเวลากี่ปีกี่เดือนแล้ว ท่านรู้สึก “คุ้ม” ไหม?

นอกจากนี้ สนช. ชุดนี้ยังมีเรื่องฉาวกรณีตั้งลูก เมีย และญาติ เข้ามาช่วยงานรับเงินเดือน 15,000-20,000 บาท จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย หลายคนรับเงินเดือน 2 ตำแหน่ง บางคนแทบไม่มาประชุม แต่ไม่ละอายที่จะรับเงินเดือน ทั้งออกกฎหมายแล้วเกือบ 300 ฉบับ ปรากฏว่าร้อยละ 77 ไม่มีเสียงค้าน ไม่มีการตรวจสอบเลย

5 ปี งบประมาณ 14 ล้านล้าน

ที่สำคัญตัวเลขงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งน่าจะเรียกว่า “งบนอนมา” นั้น ปรากฏว่า 5 ปีงบประมาณที่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารแล้วใช้ไปถึง 14 ล้านล้านบาท คือปี 2558 วงเงิน 2.57 ล้านล้านบาท ขาดดุล 250,000 ล้านบาท ปี 2559 วงเงิน 2.77 ล้านล้านบาท ขาดดุล 390,000 ล้านบาท ปี 2560 วงเงิน 2.92 ล้านล้านบาท ขาดดุล 550,000 ล้านบาท ปี 2561 วงเงิน 2.94 ล้านล้านบาท ขาดดุล 550,000 ล้านบาท และปี 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท ขาดดุล 450,000 ล้านบาท

โดยเฉพาะงบประมาณของกองทัพมียอดรวมสูงถึง 938,000 ล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินที่หว่านไปในกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากกว่า 112,000 ล้านบาท ปีงบประมาณล่าสุดยังอัดฉีดกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 40,000 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 3 ในสัดส่วนกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน

.ส.ณัฏฐา มหัทธนา (ครูโบว์) แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊คว่า การโปรยเงินลงไปที่รากหญ้า รัฐบาล คสช. ก็ทำไม่น้อยกว่าใครผ่านโครงการประเภทประชารัฐและไทยนิยม แต่เมื่อทำอย่างไม่มียุทธศาสตร์ (จะแทนด้วยคำว่า “สติปัญญา” ก็ได้) เงินที่โปรยไปจึงเป็นการโปรยแล้วหายไปจริงๆ ไม่ใช่การลงทุนเพื่อส่งเสริมศักยภาพและก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนสู่ระบบตามมา ถ้าคนไทยคิดจะนั่งเฉยๆรอให้เผด็จการเมตตาปล่อยให้มีการเลือกตั้งเองในสักวัน นอกจากจะช่วยให้การสืบทอดอำนาจสำเร็จแล้ว ปลายทางน่าจะได้เห็นการล้มละลายทางเศรษฐกิจ

สัญจรไปดูดไป

นอกจากนี้โครงการประชารัฐยังพ้องกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่จัดตั้งโดยนายชวน ชูจันทร์ เพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี โครงการประชารัฐและประชานิยมจึงถูกตั้งคำถามว่ากระตุ้นเศรษฐกิจหรือสร้างความนิยมเพื่อ “สืบทอดอำนาจ” หลังการเลือกตั้ง

ครม.สัญจรของ พล.อ.ประยุทธ์จึงมีแต่เสียงครหานินทา ทั้งเรื่อง “ดูด” ไม่เลือก และใช้ภาษีของประชาชนหาเสียง หาคะแนนนิยม ขณะที่พรรคการเมืองต่างๆไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้เลย หว่านงบแฝงเพื่อดูดอดีต ส.ส. และหาคะแนนนิยมจากประชาชน แต่คนจนก็ยังจนลง กลุ่มทุนผูกขาดที่ใกล้ชิด คสช. ก็ยิ่งมั่งคั่งและร่ำรวย

ครม.สัญจรถูกมองว่าเป็นการเดินสายหาเสียงและหว่านงบประมาณเพื่อสร้างคะแนนนิยม ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีชัดเจนพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และไม่คิดจะ “ลงจากหลังเสือ” ก็ยิ่งถูกถากถางและเย้ยหยันถึงจริยธรรมและธรรมาภิบาล เพราะถือว่าการเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์เที่ยงธรรมตั้งแต่ต้นน้ำ การเลือกตั้งที่เอาเปรียบตั้งแต่ยังไม่เริ่มนั้นจะยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองต่อไป

ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ซึ่งสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แถลงจุดยืนสวนทางกับพรรคการเมืองส่วนใหญ่ว่า เห็นด้วยที่ คสช. ยังไม่ปลดล็อกการเมืองจนกว่าจะเสร็จสิ้นการเลือกตั้งแล้ว ทั้งยังเชลียร์ว่า พล.อ.ประยุทธ์เหมาะสมที่สุดกับการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ เพราะทั้งตัวเองและครอบครัวไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน แต่นายไพบูลย์กลับไม่พูดถึงญาติพี่น้องและคนใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ที่มีข่าวฉาวต่างๆมากมาย รวมถึงข้อครหาเรื่องขายที่ดินมรดกพ่อให้กลุ่มน้ำเมาเป็นเงินถึง 600 ล้านบาท ผ่านบริษัทที่ตั้งอยู่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ซึ่งไม่มีการสอบสวนหรือใครกล้าตรวจสอบ

นายชวน หลีกภัย เตือนอดีต ส.ส. หรือนักการเมืองกลุ่มต่างๆที่จะไปร่วมกับพรรคการเมืองที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ว่า ต้องยึดอุดมการณ์ อย่ายึดผลประโยชน์ เพราะคนในพื้นที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร และยืนยันว่าได้ยินกับตัวเองว่านายสมคิดชักชวนนักธุรกิจให้ร่วมกันตั้งพรรคพลังประชารัฐ

นายยรรยง ร่วมพัฒนา พรรคภูมิใจไทย อดีต ส.ส.สุรินทร์ 6 สมัย และอดีต ส.ว. 1 สมัย ยอมรับว่า ได้รับการติดต่อทาบทามจากผู้ใหญ่พรรคพลังประชารัฐจริง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ

ต้องดูดเท่าไรถึงจะพอ?

สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าลูกผีลูกคน แม้กลุ่มสนับสนุน “ระบอบ คสช.” จะพยายามดูดนักการเมืองกลุ่มต่างๆเพื่อเป็นฐานการเมืองในอนาคต แต่กลุ่มการเมืองที่เปิดหน้าเปิดตัวทั้งอดีต ส.ส. และ ส.ว. ที่พร้อมเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์และสืบทอดอำนาจ “ระบอบ คสช.” ส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ส. ที่เป็นลักษณะ “ดาวกระจาย” แค่ตัวสำรองที่พร้อมจะอยู่กับทุกฝ่ายที่เอื้อผลประโยชน์ การเลือกตั้งครั้งหน้าจึงเชื่อว่า 2 พรรคใหญ่ยังมีฐานเสียงที่แน่นคือ ภาคใต้ยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และภาคอีสานเลือกพรรคเพื่อไทย พรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังชาติไทย พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคลิ่วล้ออื่นๆ ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ ส.ส. ถึง 250 คน หรือมากพอเป็นฐานสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

นอกจากนี้ยังต้องจับตาพรรคอนาคตใหม่ที่ชูประเด็นรื้อและแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งฉบับ รวมถึงการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีการเมืองในยุค คสช. ซึ่งได้รับการตอบรับจากสังคมอย่างกว้างขวาง และพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยก็ประกาศจุดยืนที่จะแก้ไขรัฐธรรรมนูญรวมถึงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ตักน้ำรดหัวตอ

.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เขียนเตือน แนะนำ และตำหนิติติงรัฐบาลทหารและ พล.อ.ประยุทธ์มาอย่างต่อเนื่องในคอลัมน์ “ประสงค์พูด” ล่าสุด (12 มิถุนายน 2561) กล่าวถึงการ “สืบทอดอำนาจ” ว่าเพราะกิเลสที่เกิดจากความโลภ “ได้คืบจะเอาศอก” ขณะนี้เหมือนคนไม่รู้จักพอ คนประเภทนี้เป็นคนที่ร้อนเร่าแสวงหาไม่สิ้นสุด จึงเที่ยวเร่ไปในที่ต่างๆเพื่อ “ดูด” ผู้คนมาเข้าพวกเข้าพรรค ใครมีชื่อเสียง มีฐานเสียงมาก แม้จะเคยถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นคนไม่ดีมาก่อนก็ตาม ชักจูงเข้ามาร่วมพวกร่วมพรรคของตนที่จัดตั้งขึ้น หวังชัยชนะในการเลือกตั้งข้างหน้า เพื่อเป็นมือเป็นไม้สนับสนุนให้ตนได้มีตำแหน่งหน้าที่ มีอำนาจต่อไป

เครื่องดูดฝุ่น ดูดส้วม กำลังขาดตลาดในขณะนี้เพราะ “ความไม่รู้จักพอ” ความโลภไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เลย ไม่ว่าวัตถุ สิ่งของ เงินทอง หรือผู้คนที่ได้มานั้น ดูเผินๆเหมือนเป็นการยกฐานะตน แต่ความจริงแล้วเป็นการทำลายตัวเองให้ด่างพร้อย ไม่เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาจากผู้คนที่พบเห็นหรือรู้ที่มาที่ไป ความไม่ไว้วางใจจากผู้คนทั้งหลายจะทำให้มีเหตุร้ายๆหรือเหตุไม่ดีเกิดขึ้นตามมา เมื่อถึงเวลานั้นก็สายเกินแก้

คงไม่มีผู้ใดที่เห็นว่าความโลภ ความหลง เป็นความดี ทุกคนคงเห็นว่าไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเคยเห็นคนอื่นที่ประพฤติปฏิบัติตนในทางไม่ดี ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนหรือพวกพ้อง จนถูกผู้คนสาปแช่งหรือถูกขับไล่มาแล้ว ทำไมไป “ดูด” มาใช้อีก

ความขัดแย้ง ความวุ่นวายทั้งหลายที่ยังคงมีอยู่ในบ้านเมืองขณะนี้ ต้องแก้ที่ตนเองหรือพวกของตนเองให้ได้ก่อน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนอื่น โดยเฉพาะในเรื่อง “ได้คืบจะเอาศอก ได้หอกจะเอาง้าว” เพราะตัวเองยังคิดและทำอย่างนี้ จะให้คนอื่นไม่คิดไม่ทำในเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่เป็นคนประเภท “ตักน้ำรดหัวตอ” คือไม่ยอมฟังใคร

หลับยาว 20 ปี นอนมา..หรือมานอน?

ครม.สัญจรล่าสุดที่นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี พล.อ.ประยุทธ์ได้ออดอ้อนนักการเมืองให้มาทำงานร่วมกันเพื่อประเทศชาติ และบอกว่า “อย่าไปเกรงกลัวว่าผมจะมาสืบทอดอำนาจ ผมไม่ได้อยากได้อะไรเลย แต่สิ่งที่ทำวันนี้ต้องไม่เสียเปล่า”

โดยเฉพาะ “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” พล.อ.ประยุทธ์ไม่พูดชัดเจนเรื่องการสืบทอดอำนาจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี อีก 20 ปีจะอยู่หรือไปก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต เกิดได้เมื่อไรก็ตายได้เมื่อนั้น

ที่น่าสนใจคือ พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า ในฐานะที่มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง) เมื่อไปต่างประเทศก็มีศักดิ์ศรี เพราะตนทำงานเพื่อประเทศชาติ จึงต้องสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศให้ได้ ถ้ายังต่อยตี บิดเบือนว่ากล่าวกันเหมือนเดิม ก็ไม่มีใครเชื่อมั่นเราในเวทีโลก มันไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว เป็นเรื่องของประชาชนด้วย

 

ถ้ามีเลือกตั้ง 4 ปีครั้งเหมือนบอลโลกก็คงดี

ภาพลักษณ์ของ “ทั่นผู้นำ” วันนี้ไม่ใช่แค่เป็น “คนตลก” แต่กลับถูกเย้ยหยันเรื่องสติปัญญาทันที หลังจากตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซียปีนี้ว่าเชียร์ทีมไหนเป็นพิเศษว่า เชียร์ทีมอิตาลี ฝรั่งเศส และบราซิล ซึ่งทีมอิตาลีตกรอบไม่ได้แข่งขัน ทำให้เกิดการล้อเลียนและถากถางเรื่องสติปัญญาในสื่อออนไลน์มากมาย เช่น นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ “บก.ลายจุด” โพสต์เฟซบุ๊คว่า “ขมขื่นเมื่อได้ยินว่าประยุทธ์เชียร์อิตาลี สงสารประยุทธ์ สงสารประเทศไทย”

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค Watana Muangsook ว่า “โง่กว่านี้มีอีกมั้ย” เพราะแม้แต่เด็กระดับประถมฯยังรู้ว่าทีมชาติอิตาลีตกรอบคัดเลือก แต่ยังโชคดีที่การไร้สติปัญญาครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่แนะนำชาวบ้านให้ปลูกหมามุ่ยแทนปลูกข้าว

นายวัฒนาทิ้งท้ายว่า “คนแบบนี้สำนวนสุภาษิตไทยเรียกว่า “พวกอยากนอนเตียง” แต่ที่น่าประหลาดคือ ยังอุตส่าห์มีคนจะสนับสนุนให้เป็นผู้นำต่อ คนพวกนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี”

ไปถามหา “สปิริต” จากทีมที่ตกรอบบอลโลก

เกียรติ ศักดิ์ศรีการเป็น “ผู้นำประเทศ” ไม่ใช่การมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่เป็นเรื่องของศรัทธาและความเชื่อมั่นในผลงาน ความซื่อสัตย์สุจริต จริยธรรม และธรรมาภิบาล

ยิ่ง “ทั่นผู้นำ” ไม่ทำตามสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยิ่งถูกท้าทายและอยู่ในภาวะจนตรอก หลายฝ่ายจึงยังไม่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ตราบใดที่ “ทั่นผู้นำ” ยังไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมทางการเมือง ไม่ยกเลิกมาตรา 44 ไม่ยกเลิกคำสั่งที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เสรีภาพทางวิชาการและสื่อมวลชน

ฟุตบอลโลกที่แข่งขันกันทุก 4 ปี ทุกประเทศต้องผ่านรอบคัดเลือกตามกฎกติกา นักฟุตบอลประเทศใดมีฝีเท้าเหนือกว่าคู่แข่งขันก็ได้แชมป์โลก และอีก 4 ปีก็ต้องชิงแชมป์โลกใหม่ ใช้กฎกติกาเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน เล่นกันแฟร์ๆ ไม่ใช่เอาปืนไปจ่อหัวหรือไปปล้นให้ยอมแพ้

ฟุตบอลโลกเปรียบเหมือนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ทุก 4 ปี ทุกพรรคการเมืองต้องกลับสู่สนามการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนตัดสิน ถ้ามีปัญหาหรืออุปสรรคจนรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ก็ต้องมีสปิริตพอที่จะอดทนรอเลือกตั้งโดยให้ประชาชนตัดสิน ไม่ใช่ลากรถถังมายึดอำนาจ ปล้นอำนาจ อ้างมีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่ประชาชนทุกคนต้องทำตาม ทั้งที่อำนาจแท้จริงนั้นเป็นอำนาจของประชาชนที่ถูกปล้นไป

เมื่อไม่เคารพกฎกติกา บ้านเมืองก็จมปลักใน “วงจรอุบาทว์” ซ้ำซาก “ผู้นำ” ที่มาจากการยึดอำนาจต้องสำเหนียกว่าไม่ได้มาจากประชาชน และไม่ใช่ “ผู้นำของประชาชน”

“ผู้นำ” ที่ไม่ได้มาจากประชาชนทุกยุคสมัยมักเสพติดอำนาจและหลงอำนาจ ไม่ชอบความจริง ไม่สนใจเรื่องจริยธรรมหรือธรรมาภิบาล ไม่สนใจการละเมิดสิทธิเสรีภาพและสิทธิความเป็นมนุษย์ของประชาชน มีแต่การสร้างวาทกรรมคำพูดพิลึกพิสดารออกมาเพื่อครอบงำและโฆษณาชวนเชื่อ กดหัวด้วยอำนาจที่เกรงว่าจะเสื่อมมนต์ขลังลง

“ผู้นำ” ที่ปล้นอำนาจไปจากประชาชนจึงไม่สนใจคำว่า “สปิริต” ประกาศให้ไปถามหา “สปิริต” เอาเองจาก “นักกีฬา” และคงยากที่จะไปหาได้จากนักฟุตบอลโลก โดยเฉพาะจากทีมที่ “ตกรอบ” ไม่ได้ไปแข่งขัน

บ้านเมืองยุคผู้นำคนดี หัวส่ายหางกระดิก.. หลับคาห้องประชุม หลับคาอำนาจ แต่หวังจะอยู่ยาว 20 ปี อะไรก็เกิดขึ้นได้

นอนมา.. หรือมานอน? ถ้ามีเลือกตั้ง วันนั้นน่าจะมีคำตอบ!!??


You must be logged in to post a comment Login