- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 3 hours ago
- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 4 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
น้ำขึ้นให้รีบตัก! / โดย นายหัวดี
คอลัมน์ : ฉุก(ละหุก)คิด
ผู้เขียน : นายหัวดี
“ทั่นผู้นำ” จะเดินทางไปอังกฤษ 20-22 มิถุนายน จะเกี่ยวข้องกับการซื้ออาวุธหรือไม่ก็ตาม ตัวเลขที่อังกฤษขายอาวุธขนาดเล็กและยุทธภัณฑ์ให้ไทยก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับที่ซื้อจากจีน รัสเซีย ยูเครน และสหรัฐ
องค์กรต่อต้านการค้าอาวุธ หรือ Campaign Against Arms Trade (CAAT) ระบุว่า อังกฤษขายอาวุธให้ไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่าในรอบ 4 ปีที่ คสช. ยึดอำนาจ จาก 5.7 ล้านปอนด์ในปี 2557 เป็น 35 ล้านปอนด์ในปี 2560
ขณะที่กองทัพไทยซื้ออาวุธจากจีนในยุค คสช. ไม่ว่าจะเป็นรถถัง VT4 จำนวน 38 คัน ประมาณ 7,000 ล้านบาท และต้องซื้ออีก 11 คันให้ครบ 1 กองพัน (49 คัน) กว่า 2,000 ล้านบาท รวมเกือบ 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ตามแผนยังจะซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T 3 ลำๆละ 13,500 ล้านบาท ประมาณ 40,500 ล้านบาท ซึ่งอนุมัติซื้อแล้ว 1 ลำ อีก 2 ลำรอรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง
กองทัพไทยยังซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์จากประเทศทางตะวันตก ทั้งรัสเซีย ยูเครน และสหรัฐ รวมถึงเกาหลีใต้ กว่า 30,000 ล้านบาท
งบประมาณที่ซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาถือว่ามากเป็นประวัติการณ์ ทำให้มีเสียงครหาและสงสัยว่าการจัดซื้อเหมาะสมกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงในอนาคตหรือไม่ แล้วยังมีเรื่องความโปร่งใสอีก
เงินซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์หลายหมื่นล้านบาทไม่ได้มีแค่ “ค่านายหน้า” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังมี “ใต้โต๊ะ” ในรูปแบบต่างๆมากมายที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาทุกยุคทุกสมัย เพราะแค่งานในกองทัพร้อยล้านพันล้าน บรรดา “เครือญาติและคนใกล้ชิด” ผู้มีอำนาจยังตาลุกวาว!
You must be logged in to post a comment Login