- อย่าไปอินPosted 10 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
คนยิวในเซี่ยงไฮ้ / โดย ศิลป์ อิศเรศ
คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 22-29 มิถุนายน 2561)
เมื่อครั้งที่นาซีเรืองอำนาจใหม่ๆ ไม่เพียงแค่อนุญาตให้ชาวยิวอพยพย้ายถิ่นฐานได้เท่านั้น แต่พวกเขาทั้งข่มขู่และบีบบังคับให้ออกไปจากประเทศ แต่ปัญหาก็คือไม่มีประเทศไหนยอมรับคนยิวเข้าประเทศนอกจากชาวเซี่ยงไฮ้ในประเทศจีน
นโยบายกำจัดชาวยิวของพรรคนาซีทำให้หลายๆประเทศไม่กล้าออกวีซ่าให้คนยิวเข้าประเทศ จะมีก็แต่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนเท่านั้น ที่ไม่เพียงแค่ยอมรับคนยิวเข้าประเทศ แต่ยังไม่ต้องขอวีซ่าอีกด้วย เรียกว่าอยากมาเมื่อไรก็มาได้เลย ดังนั้น เมืองเซี่ยงไฮ้จึงกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวยิวที่จะหลบหนีจากภัยคุกคามของนาซีได้
คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าชาวยิวทุกคนในทุกประเทศที่ถูกนาซีบุกเข้ายึดครองจะถูกกักกันตัวเอาไว้ แต่เฮนนี เวนการ์ต หนึ่งในคนยิวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้เล่าว่าไม่จริงเสียทั้งหมด เพราะในช่วงแรกที่พรรคนาซีเรืองอำนาจ พวกเขาอนุญาตให้คนยิวอพยพออกนอกประเทศได้ แต่ปัญหาคือไม่มีประเทศไหนยอมออกวีซ่าให้คนยิว
ขณะที่เซี่ยงไฮ้เป็นเพียงเมืองเดียวที่ยอมรับคนยิวเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า ชาวยิวส่วนใหญ่จึงหนีตายเดินทางไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ จนกระทั่งในปี 1941 เส้นทางจากยุโรปสู่เมืองเซี่ยงไฮ้ถูกปิดเพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์การทำสงคราม
ให้แต่ไม่อนุญาต
พรรคนาซีต้องการกำจัดชาวยิวออกจากทวีปยุโรป พวกเขาจึงทั้งข่มขู่ ทั้งบีบบังคับให้คนยิวออกไปให้พ้นๆจากประเทศที่นาซีเข้ายึดครอง โดยมีเงื่อนไขว่าการขออนุญาตออกนอกประเทศของชาวยิวจะต้องมีเอกสารยืนยันว่าเป็นบุคคลโปร่งใส ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้น เช่น มีเอกสารชำระภาษีตามกฎหมายอย่างถูกต้อง มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน มีวีซ่าหรือเอกสารยอมรับให้เข้าประเทศจากประเทศปลายทาง ซึ่งเอกสารเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หามาให้ได้ง่ายๆ
อาจเป็นเพราะเกรงว่าการรับชาวยิวจะเป็นการนำภัยเข้าประเทศได้ในภายหลัง จึงไม่มีประเทศใดกล้าออกวีซ่าให้ แม้แต่สวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางก็ไม่ยอมออกวีซ่าให้กับชาวยิวที่มีเครื่องหมาย “J” สีแดงประทับบนหนังสือเดินทาง
ชาวยิวหลายพันคนจึงเลือกเดินทางยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพราะเป็นเพียงสถานที่เดียวที่สามารถเดินทางมาได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่า และบางครั้งก็ไม่ขอดูแม้กระทั่งหนังสือเดินทาง การยอมให้เข้าเมืองได้อย่างอิสระดำเนินไปถึงปี 1939 จึงเริ่มมีการจำกัดจำนวน ผู้ที่ออกกฎจำกัดจำนวนชาวยิวนั้นไม่ใช่รัฐบาลจีน หากแต่เป็นญี่ปุ่นกับเยอรมันที่เข้ามามีอิทธิพลในประเทศจีน
กฎระเบียบใหม่ระบุว่า ชาวยิวที่มีเครื่องหมาย “J” สีแดงประทับบนหนังสือเดินทางจะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตก่อนเดินทางมายังเมืองเซี่ยงไฮ้ ชาวยิวกลุ่มนี้จะถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวดในประเทศต้นทาง ทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดจะถูกยึดเอาไว้ พวกเขาต้องเดินทางแบบตัวเปล่า ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว ดังนั้น จึงเบนเข็มมายังเมืองหงโข่ว ซึ่งอยู่ติดกับเซี่ยงไฮ้ เพราะเป็นเมืองเล็กๆที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า
ดีกว่าตาย
เดิมทีมีคนยิวเดินทางมาประกอบธุรกิจในเซี่ยงไฮ้เพียงไม่กี่พันคน แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ “Kristallnacht” (คืนกระจกแตก) ซึ่งเป็นการทุบทำลายข้าวของ วางเพลิงบ้านเรือน ร้านค้า และสังหารหมู่ชาวยิว ระหว่างวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 1938 มีชาวยิวเสียชีวิต 91 คน และบาดเจ็บจำนวนมาก ทำให้มีชาวยิวกว่า 20,000 คน หนีตายเดินทางมายังเซี่ยงไฮ้ภายในเวลาเพียง 2 วัน
นับตั้งแต่เหตุการณ์คืนกระจกแตกเป็นต้นมา ชาวยิวก็หลั่งไหลเข้าสู่เซี่ยงไฮ้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกองทัพญี่ปุ่นออกกฎจำกัดจำนวนชาวยิวเมื่อเดือนสิงหาคม 1939
เซี่ยงไฮ้ในยุคนั้นเป็นเมืองใหญ่ มีธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งโรงภาพยนตร์ ร้านค้า สถานบันเทิง และสถานศึกษา แต่หลังจากถูกรุกรานโดยกองทัพญี่ปุ่น เศรษฐกิจเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ถูกทำลายทีละน้อยๆจนกระทั่งญี่ปุ่นบุกเข้ายึดครองอย่างเต็มรูปแบบในปี 1941 เมืองเซี่ยงไฮ้ก็ถูกทำลายจนย่อยยับหมดสภาพ
ชาวยิวที่เดินทางมาเซี่ยงไฮ้หลังปี 1941 เขียนบันทึกว่า “เป็นเมืองที่ร้อนและชื้น ขยะเกลื่อนถนน ตามหนทางมีซากหนู ซากแมว ซากสุนัข และทารกแรกเกิด” แต่อย่างน้อยเซี่ยงไฮ้ก็ยังยินดีต้อนรับชาวยิวที่หนีร้อนมาพึ่งที่ร้อนน้อยกว่า
ชาวยิวเมืองหงโข่วค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัว เปิดธุรกิจร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย โรงเรียน ธรรมศาลา จนกลายเป็นชุมชนย่อมๆที่ต่อมาถูกเรียกว่า “เวียนนาน้อย”
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ชาวยิวอาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้และหงโข่วอย่างมีความสุข จนกระทั่งเยอรมันแต่งตั้งพันเอกโยเซฟ ไมซิงเกอร์ เป็นผู้ประสานงานระหว่างกองทัพเยอรมันและญี่ปุ่น โยเซฟเสนอ “แผนไมซิงเกอร์” มีเป้าหมายหลักคือ ให้จับตัวชาวยิวมาใช้แรงงาน หรือนำมาเป็นหนูทดลองทางการแพทย์
เดชะบุญที่ญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับแผนไมซิงเกอร์ อย่างไรก็ตาม เดือนกุมภาพันธ์ 1943 ญี่ปุ่นออกกฎระเบียบให้ชาวยิวในเซี่ยงไฮ้ที่เดินทางมาอยู่หลังปี 1937 ต้องอพยพออกจากเมืองมาอยู่ที่เมืองหงโข่ว
หงโข่วเป็นเมืองเล็กๆที่มีชาวจีนและชาวยิวอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้นับแสนคน การอพยพชาวยิวจำนวนหลายหมื่นคนจากเซี่ยงไฮ้มายัดกันอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและที่อยู่อาศัย เป็นผลให้เกิดโรคระบาดตามมา
ที่พักอาศัยแต่ละแห่งมีคนอยู่อย่างน้อย 30-40 คน อาคารบางหลังมีผู้คนอยู่ใต้ชายคาเดียวกันถึง 200 คน เกิดการปันส่วนอาหาร ชีวิตความเป็นอยู่เป็นไปอย่างแร้นแค้น แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังคงมี “ชีวิต”
ชาวยิวอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้และหงโข่วจนกระทั่งสิ้นสุดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาจึงอพยพกลับไปยังยุโรป เหลือเพียงชาวยิวจำนวนไม่กี่ร้อยคนที่ยังคงปักหลักอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ส่วนอาคารร้านค้า สิ่งปลูกสร้างต่างๆของชาวยิว ปัจจุบันถูกรื้อทิ้งไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงธรรมศาลาโฮเฮลโมสช์ที่นำมาใช้เป็น “พิพิธภัณฑ์ชาวยิวลี้ภัย” เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
1.ครอบครัวชาวยิวในเซี่ยงไฮ้
2.ร้านขายของชาวยิวในเซี่ยงไฮ้
3.เหตุการณ์คืนกระจกแตก
4.ชาวยิวบนถนนตงซาน
5.โฆษณาร้านทำหมวกของคนยิว
6.ป้ายห้ามผู้ลี้ภัยออกนอกเขตเซี่ยงไฮ้
7.เอกสารอนุญาตผู้ลี้ภัยเดินทางนอกเขตควบคุม
8.ใบอนุญาตเดินทาง
9.พิพิธภัณฑ์ชาวยิวลี้ภัย
You must be logged in to post a comment Login