- อย่าไปอินPosted 18 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ตัวแปรสุดท้าย
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีความชัดเจนเพิ่มเติมจากวงหารือระหว่าง คสช. กับพรรคการเมือง ข้อสรุปที่ได้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายรับรู้มาก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมองได้ว่า “ไพรมารีโหวต” กำลังถูกใช้เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดวันเลือกตั้งและกำหนดโฉมหน้าการเมืองหลังการเลือกตั้ง เพราะหากไม่ต้องการใช้ไพรมารีโหวตเป็นตัวแปร ไม่มีเหตุผลที่ คสช. จะไม่ให้พรรคการเมืองจัดประชุมเพื่อเลือกคณะผู้บริหาร จัดทำร่างนโยบาย จัดหาสมาชิกพรรค หรือให้ กกต. แบ่งเขตเลือกตั้ง เพราะกิจกรรมเหล่านี้มองมุมไหนก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
วงหารือระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับตัวแทนพรรคการเมือง ที่ถูกเคลมว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้เกิดความปรองดอง ถือเป็นเรื่องที่อยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น
ทั้งฝ่าย คสช. และตัวแทนพรรคการเมืองต่างมีข้อสรุปอยู่ในใจแล้ว วงหารือจึงเป็นเพียงเวทีชี้แจงในสิ่งที่แต่ละฝ่ายอยากพูด ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากสิ่งที่รับรู้กันมาก่อนหน้านี้
ฝ่าย คสช. ชี้แจงความต้องการของฝ่ายตัวเองว่าจะยังไม่ปลดล็อก และการเลือกตั้งเป็นไปตามโรดแม็พ ตามกรอบเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ฝ่ายพรรคการเมืองก็พูดปัญหาของตัวเองที่ต้องการให้ คสช. แก้ไข โดยเฉพาะเรื่องการทำไพรมารีโหวต ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเอาอย่างไร
วงหารือจึงเป็นเหมือนกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามปฏิทิน เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่ทุกฝ่ายรับรู้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหารือ
ถ้าเป็นการถกเพื่อให้ได้ข้อสรุป ได้แนวทางปฏิบัติ แนวทางแก้ปัญหาที่เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการจัดเลือกตั้ง ระยะเวลาการพูดคุยคงไม่สั้นเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเศษๆ
การปลดล็อกพรรคการเมืองยังเป็นไปตามกรอบเวลาเดิมคือ ต้องรอให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป
กิจกรรมที่พรรคการเมืองสามารถทำได้มีแค่ประชุมใหญ่เลือกกรรมการบริหารพรรค รับสมัครสมาชิกพรรค แต่งตั้งตัวแทนพรรค ตั้งสาขาพรรค และให้ความเห็นกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งน่าจะหมายรวมถึงการหาเสียงด้วย เพราะการหาเสียงต้องมีการชุมนุมกันเกินกว่า 5 คน
เมื่อพิจารณาตามกรอบเวลาที่ว่านี้ เป็นเรื่องยากมากที่พรรคการเมืองจะมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะหากการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามกรอบเวลาแรกคือปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าการเลือกตั้งน่าจะถูกเลื่อนไปเป็นกรอบเวลาที่ 2 คือปลายเดือนมีนาคม หรือกรอบเวลาที่ 3 คือปลายเดือนเมษายน หรือกรอบเวลาสุดท้ายที่จะสามารถจัดเลือกตั้งได้คือวันที่ 5 พฤษภาคมปีหน้า
เมื่อพิจารณาตามกรอบเวลาที่กระชั้นชิดสำหรับพรรคการเมือง การทำไพรมารีโหวตจึงเป็นตัวประกันสำคัญสำหรับการกำหนดเวลาเลือกตั้ง
หากเลือกตั้งตามกรอบเวลาแรกในเดือนกุมภาพันธ์ แน่นอนว่าพรรคการเมืองจะมีปัญหาจากการทำไพรมารีโหวตไม่ทันแน่ถ้าไม่ใช้อำนาจมาตรา 44 ช่วย
ถ้าไม่ใช้อำนาจพิเศษผ่อนผันการทำไพรมารีโหวต พรรคการเมืองก็ต้องจำใจยอมรับให้เลื่อนเลือกตั้งออกไปเป็นกรอบเวลาที่ 3 ที่ 4 เพื่อให้มีเวลาเตรียมความพร้อมมากที่สุด
หรือหากฝ่ายคุมอำนาจไม่ต้องการให้พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคใหญ่พร้อม 100% ในการลงสนามเลือกตั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคเล็ก พรรคใหม่ ชิงส่วนแบ่งเก้าอี้ ส.ส. ได้มากขึ้น ก็สามารถยึดกรอบเวลาแรกจัดเลือกตั้งโดยอ้างว่ารักษาคำสัญญาตามโรดแม็พได้
หากต้องการให้พรรคการเมืองพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ไม่มีเหตุผลที่ คสช. จะไม่ให้พรรคการเมืองจัดประชุมเพื่อเลือกคณะผู้บริหาร จัดทำร่างนโยบาย จัดหาสมาชิกพรรค หรือให้ กกต. แบ่งเขตเลือกตั้ง เพราะกิจกรรมเหล่านี้มองมุมไหนก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
ไพรมารีโหวตจึงเป็นตัวแปรสำคัญและเป็นตัวแปรสุดท้ายที่จะกำหนดวันเลือกตั้ง และกำหนดโฉมหน้าการเมืองหลังการเลือกตั้ง
You must be logged in to post a comment Login