- อย่าไปอินPosted 9 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นิติธรรมจากคัมภีร์
คอลัมน์ สันติธรรม “นิติธรรมจากคัมภีร์”
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 20-27 กรกฏาคม 2561)
ขณะที่นบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามในเมืองมักก๊ะฮฺ ยัษริบ (หรือมะดีนะฮฺ) เป็นเมืองที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายความเชื่อและเชื้อสายอาศัยอยู่ เวลานั้นยัษริบไม่มีรัฐบาลกลางที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง แต่ละกลุ่มชนจะอยู่อย่างปลอดภัยได้จำเป็นต้องมีกำลังและอิทธิพลที่เข้มแข็ง
ในเวลานั้นนอกจากชาวอาหรับพื้นเมืองที่เคารพกราบไหว้เจว็ดสารพัดรูปแบบแล้ว ในเมืองยัษริบยังมีชนเผ่าลูกหลานอิสราเอล 3 เผ่าอาศัยอยู่ด้วย คนกลุ่มนี้หลบลี้หนีภัยมาจากเมืองเยรูซาเล็มหลังจากถูกกองทัพโรมันทำลายใน ค.ศ. 70 ลูกหลานอิสราเอลเหล่านี้นับถือศาสนายูดาย และแม้จะเป็นลูกหลานอิสราเอลด้วยกัน แต่ทั้ง 3 เผ่านี้มีความเป็นศัตรูกันในเรื่องอำนาจและผลประโยชน์
ขณะเดียวกันยัษริบยังมีกลุ่มชนอีก 2 เผ่าที่มีอำนาจและความเข้มแข็งตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนที่ชนเผ่าอิสราเอลจะอพยพมา 2 เผ่านี้คือ เผ่าเอาส์ และคอซรอจญ์ ซึ่งเป็นชาวเยเมนที่อพยพมาจากทางใต้ของคาบสมุทรอาหรับ หลังเขื่อนมะอ์ริบแตกจนแผ่นดินแห้งแล้งไม่สามารถเพาะปลูกได้
เผ่าเอาส์และคอซรอจญ์แย่งชิงความเป็นผู้นำในเมืองยัษริบและทำสงครามขับเคี่ยวกันมาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทุกครั้งเมื่อเวลาทำสงครามเผ่าเยเมนต่างฝ่ายต่างไปขอความช่วยเหลือจากเผ่าอิสราเอลมาร่วมรบ และเมื่อเผ่าอิสราเอลทำสงครามกัน เผ่าอิสราเอลที่เป็นคู่กรณีก็จะมาขอความช่วยเหลือจากเผ่าเยเมนที่เป็นพันธมิตรกับตน
นี่คือสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเมืองยัษริบตอนที่นบีมุฮัมมัดกำลังเผยแผ่อิสลามและถูกต่อต้านจากหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺ
เมี่อนบีมุฮัมมัดอพยพไปยังเมืองยัษริบ 2 เผ่าเยเมนและชนเผ่าพื้นเมืองยอมรับให้ท่านเป็นผู้นำ แต่เนื่องจากในยัษริบมีชนเผ่าลูกหลานอิสราเอลอยู่ด้วย ท่านจึงเรียกทุกชนเผ่ามาทำสัญญาประชาคมร่วมกันว่ายัษริบคือเมืองของทุกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ หากมีศัตรูภายนอกรุกราน ทุกเผ่าต้องร่วมมือกันปกป้องเมืองเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกเผ่า และหากชาวเมืองยัษริบคนใดมีข้อพิพาท ทุกคนจะนำกรณีพิพาทมาให้นบีมุฮัมมัดตัดสิน
แต่เนื่องจากในเมืองยัษริบมีชนเผ่าอิสราเอลอาศัยอยู่ และชนเผ่าอิสราเอลมีคัมภีร์ทางศาสนาที่เป็นกฎหมาย (คัมภีร์เตารอตหรือโตราห์) อยู่ด้วย หากชนเผ่าอิสราเอลมีกรณีพิพาทหรือทำผิดกฎหมาย นบีมุฮัมมัดจะตัดสินตามที่คัมภีร์เตารอตบัญญัติไว้
ครั้งหนึ่งชายและหญิงในเผ่าอิสราเอลทำผิดประเวณีและถูกจับได้ ทั้งคู่จึงถูกนำตัวมาหานบีมุฮัมมัดเพื่อรับการตัดสินจากท่านตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาประชาคม
นบีมุฮัมมัดได้ให้คนไปตามผู้รู้ศาสนาและกฎหมายชาวยิวมาและถามว่า “การลงโทษตามกฎหมายสำหรับบาปนี้ในคัมภีร์ของท่านคืออะไร?”
ผู้รู้ศาสนาชาวยิวตอบว่า “นักบวชของเราได้คิดการลงโทษขึ้นมาใหม่ โดยการเอาถ่านทาหน้าคู่กรณีที่มีชู้แล้วนำตัวไปนั่งบนหลังลาโดยหันหน้าเข้าหากัน หลังจากนั้นก็นำไปแห่ประจานในที่สาธารณะ” ในตอนนั้น อับดุลลอฮฺ บินสะลาม ซึ่งเป็นชาวยิวที่หันมารับอิสลาม ได้บอกนบีมุฮัมมัดว่า “ให้พวกเขาให้นำเอาคัมภีร์เตารอตมา”
เมื่อคัมภีร์เตารอตถูกนำมา ชาวยิวคนหนึ่งได้เอามือของเขาปิดบนข้อความที่พูดถึงการลงโทษคนมีชู้ด้วยการขว้างหินจนตาย และเริ่มอ่านข้อความก่อนหน้าและข้อความต่อจากส่วนที่ถูกปิดไว้ อับดุลลอฮฺ บินสะลาม จึงได้บอกชาวยิวคนนั้นว่า “เอามือของท่านออก”
เมื่อชาวยิวคนนั้นยกมือของตนออกจากคัมภีร์ ข้อความเกี่ยวกับการลงโทษด้วยการขว้างด้วยหินจนตายซึ่งถูกปิดไว้จึงปรากฏขึ้น นบีมุฮัมมัดจึงได้สั่งให้ลงโทษชายหญิงทั้งสองที่ทำบาปตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ของชาวยิว
นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของนบีมุฮัมมัด และการเคารพคัมภีร์ทางศาสนาของผู้มีความเชื่อต่างจากท่าน
You must be logged in to post a comment Login