วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ทำไงได้..เขาให้ยืม

On July 20, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก

ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  20-27 กรกฏาคม 2561)

ข่าวภาพและคลิปวิดีโอพลทหารหรือทหารเกณฑ์ที่กลายเป็น “คนรับใช้” นายทหารและครอบครัวในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะการใช้แรงงานเยี่ยงทาส ปรากฏในสื่อต่างๆอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงการทำร้ายทหารเกณฑ์ต่างๆนานา จนบางรายเสียชีวิต แต่หลังจากเป็นข่าวก็จะค่อยๆเงียบหายไป จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่จึงเริ่มมีการพูดถึงและก็ค่อยๆเงียบไปอีก เหมือน “วงจรอุบาทว์” ทางการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

มีตัวอย่างชัดเจนหลายกรณี เช่น มีทหารเกณฑ์นายหนึ่งบุกถึงทำเนียบรัฐบาลร้องเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (20 สิงหาคม 2558) ว่าถูกนายทหารนอกราชการจับล่ามโซ่ผูกเอวไว้กับยางล้อรถยนต์ โดยมีภาพปรากฏให้เห็นชัดเจน ได้รับความเจ็บปวดทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจและใช้แรงงานมนุษย์เยี่ยงทาส จนต้องหลบหนีออกมาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2558

เพจเฟซบุ๊ค Social Hunter โพสต์คลิปวิดีโอ (26 กรกฎาคม 2560) แฉทหารเกณฑ์จำนวนกว่า 20 คน ถูกนำไปทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองของนายทหารเรือระดับสูงพร้อมข้อความว่า “ภรรยานาวาเอกแห่งกองทัพเรือกดขี่ข่มเหงพลทหาร น่าสงสารพลทหารตั้งใจมารับใช้ชาติ แต่กลับถูกเกณฑ์มาเป็นทาสให้ภรรยาของนายใช้แรงงานกว่า 20 ชีวิต และยังโดนตัดค่าไฟด้วยคนละ 300 บาท โดยก่อนหน้านี้มีพลทหารออกไปได้ 3 นาย เขาสั่งให้ลูกน้องส่งไปอยู่ภาคใต้ เงินเดือนก็เป็นเบี้ยเลี้ยงทหารนะ มันไม่ได้เป็นความจริงอย่างที่ว่ากันว่าอยู่บ้านนายแล้วสุขสบาย ผู้มีอำนาจโปรดช่วยเหลือพลทหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองด้วย ความจริงอีกด้านที่หลายคนยังไม่ทราบในคราบของนักบุญคนบาป”

นอกจากนี้ในคลิปยังมีหญิงสาวรายหนึ่งอ้างเป็นภรรยานายทหารยศนาวาเอกกำลังยืนตำหนิพลทหารหลายคนที่ถูกเกณฑ์มาใช้งานอย่างรุนแรงว่า “กรรมเวรอะไร ฉันเป็นเมีย ผบ.สูงสุด แต่ฉันต้องมานั่งบ่นพลทหาร มันต้องถึงมือฉัน ฉันรู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีฉันไม่มีเลยอะ”

ถึงคราวพลทหารเลี้ยงไก่

ล่าสุด (14 กรกฎาคม 2561) แฟนเพจเฟซบุ๊ค “พลังโซเชียล” โพสต์คลิปยาวประมาณ 11 นาที โดยพลทหารคนหนึ่งที่เข้ารับการฝึกอยู่ที่กองพันทหารราบที่ 2 ศูนย์การทหารราบ (ค่ายธนะรัชต์) อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพลทหารคนดังกล่าวเล่าว่า

“นี่คือความเป็นอยู่ที่ผมต้องทุกข์ทน ผมเป็นแค่พลทหารที่รักในการฝึก แต่สิ่งที่ผมได้รับคือการที่ต้องมาเลี้ยงไก่ โดนด่า ห้องน้ำให้เข้าก็ไม่มี ต้องไปถ่ายในป่า นี่คือชีวิตที่ต้องอยู่ทุกวันเกือบ 6 เดือนแล้ว

ผมไม่อยากให้ที่ไหนมันมีแบบนี้หรอก นี่คือชีวิตที่ผมต้องอยู่ทุกวัน แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเป็นแค่ทหาร ผมและเพื่อนโดนด่า โดนตบหน้า เพราะไก่จิกกินหางเป็นแผล เขาสั่งให้มันตีกัน ปล้ำกัน พอไก่เป็นแผล เดือยไก่หลุด บีบคอผม กำหมัดจะต่อยผม ด่าโคตรพ่อโคตรแม่ปู่ย่าตายายผม ขนาดคนที่ตายไปก็ยังยกมาด่า

ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมรักในการเป็นทหาร แต่ผมไม่อยากให้น้องๆหรือทหารผลัดอื่นต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทีแรกผมคิดว่ามาเลี้ยงไก่เพื่อผลประโยชน์กองร้อย แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย เขาทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองล้วนๆ

ผบ.ทบ. เปรยโลกเปลี่ยนไปแล้ว

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่ตอบตรงๆว่าจะพิจารณายกเลิกการนำพลทหารมารับใช้ในบ้านหรือไม่  แต่คำตอบก็น่าสนใจที่ว่า “ผู้บังคับหน่วยต้องพิจารณาความเหมาะสม ไม่ใช่เป็นสิทธิที่จะมาขอได้ ถ้าไม่จำเป็นและไม่มีเหตุผลก็ไม่ได้” และ “ในสังคมปัจจุบันทุกคนโดยเฉพาะที่เป็นข้าราชการก็ต้องตระหนักว่าอะไรควรไม่ควร โลกมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว จะทำแบบเดิมๆคงไม่ได้ และผู้บังคับหน่วยทุกท่านต้องตรวจสอบผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเองว่าทำงานที่ไหน ปฏิบัติยังไง”

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสสังคมเรียกร้องให้ยกเลิกการมีพลทหารรับใช้ว่า “ระเบียบมีอยู่แล้ว ก็มันไม่มีอยู่แล้ว เขาขอยืมตัวไป” เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าจะไม่ให้มีการยืมตัวไปเลยได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรก็ตอบชัดเจนว่า “มันก็ต้องยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

พล.อ.ประวิตรยังให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม. (17 กรกฎาคม) กรณีที่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกพลทหารรับใช้ว่า ก็ยกเลิกอยู่แล้ว ไม่มีอยู่แล้ว ระเบียบมีชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าจะไปทำอะไรก็ต้องมีการขอตัวไปช่วย และเจ้าตัวที่จะไปอยู่กับผู้บังคับบัญชาต้องมีความสมัครใจ ถ้าไม่สมัครใจก็ไปไม่ได้ ไม่มีสิทธิบังคับให้เขาไป ส่วนกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น ตนไม่แน่ใจว่าเขาดำเนินการกันอย่างไร ต้องไปสอบถามกันก่อน

.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าการเลี้ยงไก่เป็นการดำเนินการส่วนบุคคลในบ้านพักราชการของหน่วยที่ผู้เข้าพักใช้พื้นที่ด้านหลังเลี้ยงเป็นงานอดิเรก ซึ่งคงมีการมอบหมายให้ทหารที่ดูแลบ้านพักของหน่วยช่วยดูแลไปด้วยในลักษณะไหว้วาน หรืออาจเป็นงานนอกหน้าที่หลักเสริมมา อาจต้องพิจารณาคำนึงถึงเรื่องของน้ำใจและความสมัครใจเป็นสำคัญ เชื่อว่าทางหน่วยคงจะได้ทำความเข้าใจกับกำลังพลทุกระดับ

ล่าสุดเพจ CSI LA ออกมาปูดว่า มีพลทหารที่เคยเป็น “ทหารรับใช้” ออกมาระบุว่า ไม่ใช่เป็นการต้องรับใช้นายทหารเท่านั้น แต่ยังต้องกลายไปเป็นทหารปลูกผัก ทหารเลี้ยงวัว จับไม้กวาดไม่ได้จับปืน ได้เป็น “คนรับใช้” ให้กับผู้ที่ไม่ใช่ทหาร โดยถูกส่งไปรับใช้เกจิอาจารย์ระดับโหร คมช. ชื่อดังที่นายทหารนับถือในภาคเหนืออีกด้วย

เกณฑ์ทหารต้องยกเลิก

คำตอบของ พล.อ.ประวิตรและ พ.อ.วินธัยเป็นการแก้ตัวไปแบบข้างๆคูๆอย่างที่ผ่านมา ซึ่งมีแต่ทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพเสียหาย ไม่ใช่กระแสเรียกร้องให้ยกเลิก “พลทหารรับใช้” เท่านั้น แต่จะลุกลามไปถึงการเรียกร้องให้ยกเลิก “ทหารเกณฑ์ โดยนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเป็นหนึ่งในผู้รณรงค์ให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และให้กองทัพรับรองว่าจะไม่มีการละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์  ทั้งยังใส่นาฬิกา 14 เรือนบอกว่ายืมเพื่อนมา เพื่อประชดกรณี “นาฬิกาหรู ของ พล.อ.ประวิตรอีกด้วย

เมื่อพิจารณาจากคำพูด พล.อ.เฉลิมชัยที่บอกว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว จะทำแบบเดิมๆคงไม่ได้ จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “พลทหารรับใช้” แต่ยุทธศาสตร์ด้านการทหารก็ควรเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั่วโลกก็มีการลดกำลังพลและพัฒนากองทัพไซเบอร์และเทคโนโลยีทดแทนการใช้ยุทโธปกรณ์แบบเดิมๆ แต่กองทัพไทยยังใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านซื้อเรือดำน้ำ รถถัง และเครื่องบินรบ ฯลฯ ซึ่งก็มีคำถามว่าจะเอาไปรบกับใคร หรือมีไว้เพื่อทำรัฐประหาร

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยให้ความเห็นผ่านคลิปวิดีโอทางเฟซบุ๊คว่า “เกณฑ์ทหารต้องยกเลิก” โดยอธิบายเหตุผลว่า ในแต่ละปีกองทัพตรวจเลือกการเกณฑ์ทหารจำนวนนับแสนคน ทั้งที่ไม่มีศึกสงครามมาเป็นเวลายาวนาน แต่จำนวนทหารเกณฑ์กลับเพิ่มอัตรามากขึ้นทุกปี ทำให้ต้องตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆและงบการฝึกซึ่งเป็นภาษีของประชาชน อีกทั้งมีการนำทหารเกณฑ์ไปปรนนิบัติรับใช้ตามบ้านนายทหารทั้งประจำการและเกษียณอายุ ล้วนเป็นการทุจริตและสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินถึงปีละกว่า 20,000 ล้านบาท (คำนวณจากประจำการ 2 ปี อย่างปี 2561 กองทัพบกแถลงว่ามีทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการจํานวน 104,734 คน ซึ่งสิทธิกําลังพลที่จะได้รับมีเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน)

1 ปี ป.ป.ช. คดียืมนาฬิกาเพื่อนไม่คืบ

ท่ามกลางคลิปฉาว “พลทหารเลี้ยงไก่” หลังข่าวเด็กติดถ้ำหลวงซาลง กองทัพก็ถูกตอกย้ำด้วยกรณี “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตรอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงข่าวให้เห็นว่าไม่มีความคืบหน้าการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร

นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ได้โพสต์เฟซบุ๊ค (12 กรกฎาคม 2561) เเสดงความเห็นกรณีที่มีข่าวว่าเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม คณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงได้รายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่สามารถพิจารณาคดีการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินซึ่งเป็นนาฬิกามีมูลค่าสูงของ พล.อ.ประวิตรได้ เนื่องจากบริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยไม่ส่งข้อมูลผู้ครอบครองให้ ซึ่งมีการสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีครบถ้วนแล้ว และขอให้ที่ประชุม ป.ป.ช. ทำหนังสือไปยังบริษัทแม่ที่อยู่ต่างประเทศที่เป็นผู้ผลิตนาฬิกาหรูเรือนต่างๆเพื่อขอข้อมูลหมายเลขซีเรียลนัมเบอร์นาฬิกาหรูแต่ละเรือนว่ามีใครเป็นผู้ซื้อนาฬิกาตัวจริง เนื่องจากบริษัทตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาหรูในประเทศไทยไม่ยอมให้ข้อมูลใครเป็นผู้ครอบครองที่แท้จริง

นายวิญญัติกล่าวว่า ดูเผินๆก็พอจะเห็นความพยายามทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่มีอำนาจหน้าที่ รวมทั้งดาบอาญาสิทธิ์ให้ตรวจโกง ตรวจความฟุ่มเฟือย ตรวจความไม่โปร่งใสของบรรดานักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนที่อาจเชื่อมโยงกับคอร์รัปชันได้อย่างดี แต่ดีไม่พอหรือไม่ถือว่าดีเลยในความเห็นของตน ถ้าท่านทำได้เพียงเท่านี้ก็ยุติเรื่องไต่สวนนี้เสีย ก็อย่ามีเลยองค์กรนี้ เสียดายงบประมาณ บุคลากร รวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ไฮเทคโนโลยีต่างๆ ชาวบ้านจะเห็นด้วยกับท่านหรือไม่คงจะรู้คำตอบดี ป.ป.ช. ใช้เวลาเกือบปีแต่ผลที่ได้มีเท่านี้ “สงสัยว่างานนี้ต้องระดมทีมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมางมหรือค้นหาดังเช่นภารกิจถ้ำหลวงแล้วกระมัง!

ส่งเสียงถึงป.ป.ช. “เราไม่พอใจ”

นายต่อตระกูล ยมนาค ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) โพสต์เฟซบุ๊คให้ร่วมกันส่งเสียงถึง “ป.ป.ช.” ว่า “เราไม่พอใจที่ท่านถ่วงเวลาการสอบสวนทั้งย้ำว่า ต้องประณามคน 2-3 คนที่มีตำแหน่งและมีอำนาจทำความเสื่อมเสียต่อ ป.ป.ช. ทั้งองค์กร องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯเชิญชวนประชาชนร่วมติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. คดีแหวนเพชรและนาฬิกาหรูกับคดีตำรวจยืมเงินเพื่อน 300 ล้านบาท

3 เดือนผ่านไป หลังจากที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯมีจดหมายเปิดผนึกสอบถาม ป.ป.ช. ถึงความคืบหน้าคดีแหวนเพชรและนาฬิกาหรูกับคดีพลตำรวจเอกยืมเงินเพื่อนจำนวน 300 ล้านบาท วันนี้ ป.ป.ช. ตอบจดหมายกลับมาเพียงว่า “กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง”!

คำถาม : เหตุใด 2 คดีนี้จึงใช้เวลานาน ทั้งๆที่คดีทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว?

“หากเป็นเช่นนี้แล้วคดีอื่นๆที่เกิดขึ้นและมีความสลับซับซ้อนมากกว่านี้ ป.ป.ช. จะมีความสามารถในการจัดการได้แค่ไหน? ประชาชนกำลังหวั่นใจ

‘ผิด’ ก็บอกไปว่า ‘ผิด’ ‘ถูก’ ก็บอกมาว่า ‘ถูก’..มีข้อมูลอย่างไรก็เปิดเผยมา เราคาดหวังว่าจะได้ผลการสอบสวนที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ และขอเชิญชวนให้ประชาชนจับตาการแถลงข่าวคดีนาฬิกาหรูของ ป.ป.ช. ในช่วงนี้ สังคมกำลังรอรับฟังครับ”

ทำไงได้? แค่ขอยืม

กรณี “พลทหารเลี้ยงไก่” และ “นาฬิกาหรู” ล้วนส่องแสงมาที่ พล.อ.ประวิตร ซึ่งถือเป็น “พี่ใหญ่” ที่เคารพนับถือของบรรดา “บิ๊กมีสี” แต่ทั้ง 2 เรื่องก็มีคำตอบแบบข้างๆคูๆ สรุปคือ “แค่ขอยืม.. และเต็มใจทั้งสองฝ่าย” จึงมีแต่ทำให้ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประวิตร กองทัพ และ ป.ป.ช. ไร้หลักและเลอะเทอะมากขึ้น

ยิ่ง ป.ป.ช. ในฐานะ “องค์กรปราบโกงถ้าหากกรณี “นาฬิกาหรู” จบลงโดยอ้างว่าผู้ผลิตต่างประเทศไม่ยอมส่งข้อมูลให้จึงไม่มีพยานหลักฐาน ข้อกล่าวหาจึงเป็นอันตกไป ป.ป.ช. ย่อมจะถูกมองว่า “ฟอกขาว” ให้กับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งไม่เพียงสังคมจะออกมารณรงค์ให้ยุบ ป.ป.ช. ทิ้ง แต่ยังจะมีคำถามถึงองค์กรอิสระอื่นๆในเรื่อง “จริยธรรม” ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรมและความเท่าเทียมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการสรรหากรรมการภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่แทบทุกองค์กรมีข้อครหาเรื่องความโปร่งใสและพวกพ้อง หรือแม้แต่การเซตซีโร่ในบางองค์กรก็เลือกปฏิบัติ

จึงไม่แปลกที่กรณี “นาฬิกาหรู” เกือบปีมีแนวโน้มที่จะเป็นการ “ฟอกขาว” และยิ่งย้อนหลายคดีที่ผ่านมาของ ป.ป.ช. ก็มีคำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติ เพราะหลายคดีรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่บางคดีก็ “ถูกแช่แข็ง” ด้วยเหตุผลต่างๆ

แม้ล่าสุด ป.ป.ช. จะให้ ผบ.เหล่าทัพ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับ ผบ.หน่วย เจ้ากรม ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินแต่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ โดย พล.อ.ประวิตรระบุว่า “จะทำไงได้ ก็เขาออกมาอย่างนี้จะทำไงได้ เชื่อประชาชนสบายใจอยู่แล้ว สบายใจทุกเรื่อง”

ทำไงได้? กฎหมายคือกฎหมาย

คดีทางการเมืองภายใต้วาทกรรม “กฎหมายคือกฎหมาย” โดยมีอำนาจที่อยู่เหนือ “กฎหมาย” คืออำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” และยังทำให้เกิด “อภินิหารทางกฎหมาย” ใช้กับฝ่ายที่เห็นต่าง โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม

ข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ตลอด 4 ปี มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยประชาชนถูกตั้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกว่า 1,138 คน มีกิจกรรมที่ถูกห้ามจัดอย่างน้อย 264 ครั้ง

.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เขียนในคอลัมน์ “ประสงค์พูด” ถึงลักษณะของ “คนทรลักษณ์” ที่นั่งอยู่บนหัวคนว่า มีลักษณะที่โลภจัด ได้คืบจะเอาศอก อยากมีอำนาจตลอดเวลา ดื้อด้าน อวดดี ฉุนเฉียว ชี้มือชี้ไม้วางอำนาจ

ขณะที่นายสุนัย ผาสุก ผู้แทนฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “ครบรอบ 4 ปี คสช. ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและสังคมไทย” โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจัดร่วมกับสำนักข่าวต่างประเทศ ผู้สังเกตการณ์ทั้งจากสถานทูตและองค์กรสิทธิฯต่างๆว่า คำสัญญาของ คสช. ไร้ความหมาย เมื่อคำสัญญากลวงๆนั้นถูกละเมิดโดย คสช. เอง มีการดำเนินคดีที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในอัตราที่สูงขึ้น การสร้างภาพวาดด้วยคำขวัญสวยหรู “สังคมแห่งความสุข” ถูกทำลายด้วยการกระทำของรัฐบาลเผด็จการทหารเอง

“เราถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพอันพึงมีมาตลอด 4 ปีภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร เราไม่ควรรอนานกว่านี้ และ 4 ปีมันนานเกินพอแล้วสำหรับการถูกลิดรอนสิทธิ”

ทำไงได้..เขาให้ยืม?

กว่า 4 ปีภายใต้ “ระบอบพิสดาร” ที่ปล้นอำนาจจากประชาชนโดยอ้างว่ากอบกู้วิกฤตบ้านเมืองนั้น เป็นการ “คืนความสุข” ให้ประเทศและประชาชนหรือยิ่งทำให้สังคมสิ้นหวังกันแน่?

เศรษฐกิจที่เคยแข็งแกร่งกลายเป็น “คนป่วยเรื้อรัง” ระบอบประชาธิปไตยที่ถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศก็ต้องอยู่ภายใต้ “ระบอบพิสดาร” ต่อไปอีกอย่างน้อย 20 ปี

ประชาชนจึงจะเป็นผู้ให้คำตอบว่าจะยอมให้มีการ “สืบทอดอำนาจและอยู่ภายใต้ “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ต่อไปอีกนานแค่ไหน

ที่ผ่านมาประชาชนถูกปล้นอำนาจแล้วปล้นอำนาจเล่า แต่เขาบอกว่า “แค่ขอยืม”

ทำไงได้..ยืมก็ยืม! แต่ถ้า “อำนาจ” มีไว้ขอยืม เมื่อยืมแล้วก็ต้องคืน! ถ้าไม่คืน..ก็ต้องไล่ให้ออกไป!!??


You must be logged in to post a comment Login