- อย่าไปอินPosted 21 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ขัดแย้งการค้า‘จี-20’อึมครึม
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสมาชิกกลุ่มประเทศจี-20 จากปัญหากำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐ สร้างความอึมครึมให้กับการหารือประจำปีที่กรุงบัวโนสไอเรส
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ว่า นายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจฝรั่งเศส กล่าวต่อที่ประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 แห่ง หรือจี-20 ว่าสหภาพยุโรป (อียู) จะไม่สานต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหรัฐ ตราบใดที่รัฐบาลสหรัฐยังไม่ยกเลิกกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมกับอียู
ทั้งนี้ เอฟทีเอระหว่างอียูกับสหรัฐมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ข้อตกลงหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก (ทีทีไอพี) เริ่มการเจรจารอบแรกเมื่อปี 2556 แต่กระบวนการหยุดชะงักตั้งแต่ปลายปี 2559 เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ในหลายประเด็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม นายสตีฟ มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐพร้อมลงนามในข้อตกลงการค้ากับทั้งอียูและจีนที่จะไม่มีการตั้งกำแพงภาษีต่อกันหากอีกฝ่ายยึดมั่นต่อกลไกการค้าที่เสรีและเป็นธรรม นอกเหนือจากกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% และ 10% ที่สหรัฐบังคับใช้ต่ออียูเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา และอียูตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าของสหรัฐหลายร้อยรายการในอัตราสูงสุด 25% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มอุณหภูมิให้กับความขัดแย้งทางการค้าครั้งนี้ด้วยการกล่าวว่ากำลังพิจารณาขึ้นภาษีรถยนต์จากยุโรปในอัตราสูงสุด 25%
ด้านนางคริสทีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า มาตรการกีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว 0.5% ในปีนี้ แต่ในภาพรวมไอเอ็มเอฟประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะสามารถเติบโตได้สูงสุด 3.9% ในปี 2561 และ 2562
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจากการประชุมจี-20 เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์วิจารณ์ว่าจีนและอียูแทรกแซงค่าเงินของตัวเองและลดดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำลง สวนทางกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และกล่าวด้วยว่าพร้อมเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลจีนด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าทั้งหมดที่สหรัฐนำเข้าจากจีน ซึ่งมีมูลค่าต่อปีสูงถึง 505,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16.8 ล้านล้านบาท)
You must be logged in to post a comment Login