- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 17 hours ago
- อย่าไปอินPosted 4 days ago
- ปีดับคนดังPosted 5 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 6 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 7 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
ชีวิตหลังความตายประจักษ์ด้วยสายตา
คอลัมน์ สันติธรรม “ชีวิตหลังความตายประจักษ์ด้วยสายตา”
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข 27 กรกฏาคม- 3 สิงหาคม 2561)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเห็นได้ว่าคำสอนของทุกศาสนามีที่มาจากแหล่งเดียวกัน นั่นคือคำสอนในเรื่องโลกหลังความตาย ซึ่งถูกกล่าวออกมาด้วยคำพูดต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า วันพิพากษา วันแห่งการฟื้นคืนชีพ และอื่นๆ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเร้นลับพ้นสายตาของมนุษย์ แต่เพราะสิ่งดังกล่าวมีอยู่จริง ทุกศาสนาจึงสั่งสอนมนุษย์ให้เชื่อมั่นว่ามีโดยที่ตาไม่ต้องมองเห็น ทั้งนี้ เพื่อให้ความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ดีกว่าที่จะให้กฎหมายควบคุม
ความเชื่อในการมีอยู่จริงของโลกหลังความตายยังหมายรวมถึงการที่มนุษย์ต้องไปรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ คำพูดที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แม้จะออกจากปากมนุษย์ในโลกนี้ แต่มันยังมีความหมายครอบคลุมถึงโลกหน้าด้วย เพราะบางคนทำดีในโลกนี้ไว้มากมาย แต่ยังไม่ได้รับการตอบแทนความดีหรือได้รับไม่สมกับความดีที่ทำไว้ ในขณะที่หลายคนทำชั่วแต่กลับได้ดีมีหน้ามีตาในสังคม และยังรอดจากการถูกลงโทษทางกฎหมายด้วย
ดังนั้น คำพูดที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะสมบูรณ์จริงก็ต่อเมื่อมนุษย์ฟื้นคืนชีพในโลกหลังความตายเท่านั้น แต่การฟื้นคืนชีพหลังความตาย การตอบแทนความดีอย่างยุติธรรม และการลงโทษมนุษย์ที่ทำความชั่วอย่างสาสม ไม่อาจเป็นจริงได้ถ้าไม่มีผู้ทำให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพและตอบแทนมนุษย์หลังความตาย หากไม่มีพระเจ้าผู้สร้างชีวิต ผู้ให้มนุษย์ตายและทำให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกศาสนามีคำสอนเรื่องพระเจ้าและโลกหลังความตายเป็นพื้นฐาน ถ้าเรียนรู้ศาสนาโดยไม่เชื่อใน 2 สิ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการเรียนภาษาหนึ่งภาษาใดโดยไม่ยอมรับพยัญชนะหรืออักษรของภาษานั้น
ประมาณ 4,000 ปีก่อน อิบรอฮีมมองการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในท้องฟ้าและใช้สติปัญญาของความเป็นเด็กหนุ่มตรึกตรองไม่นาน เขาก็สามารถสรุปได้ว่าเบื้องหลังการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สลับเปลี่ยนกันนำกลางวันและกลางคืนมาสู่โลกใบนี้คือพระเจ้าที่ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตาเนื้อ มิใช่รูปปั้นที่พ่อของเขาทำขึ้นมาขายให้ประชาชนไปกราบไหว้บูชา
แต่ความคิดที่พัฒนาขึ้นเป็นความเชื่อมั่นศรัทธาในการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวเป็นสิ่งที่ท้าทายความเชื่อของผู้คนร่วมสมัยกับเขา เขาจึงถูกลงโทษด้วยการนำไปเผาไฟทั้งเป็น แต่เขารอดตายเพราะพระเจ้าได้ทำให้ไฟที่เผาร่างของเขาเย็นลง อิบรอฮีมจึงยิ่งมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ
เมื่อผู้คนต่อต้านเขาถึงขนาดนี้ เขาจึงอพยพออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขาซึ่งอยู่ที่เมืองอูร์ในประเทศอิรักปัจจุบัน ตอนนี้เขามีความเชื่อมั่นเกินร้อยว่าพระเจ้ามีอยู่จริงและทรงเป็นเจ้าของชีวิต ถ้าพระองค์ไม่เอาชีวิตของใคร ใครก็ไม่สามารถเอาชีวิตของคนผู้นั้นไปได้
แต่ถึงกระนั้นเขายังคงสงสัยว่าพระเจ้าจะทำให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพหลังความตายได้อย่างไร พระเจ้าจึงถามเขาว่าเขาไม่เชื่อมั่นในอำนาจของพระองค์หรือทั้งๆที่พระองค์แสดงอำนาจของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว เขาจึงตอบอย่างชาญฉลาดว่าเขาเชื่อ แต่เขาอยากเห็นวิธีการที่พระองค์ทำให้ชีวิตฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ศรัทธามั่นในพระองค์มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น พระเจ้าจึงสั่งอิบรอฮีมให้จับนกมาเลี้ยงจนเชื่อง หลังจากนั้นให้ฆ่านกและสับนกออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ 4-5 ชิ้น แล้วนำแต่ละชิ้นไปวางไว้บนเนินหินที่ห่างกัน หลังจากนั้นให้เขาเอ่ยนามพระเจ้าและเรียกนกที่เขาฆ่า เมื่อเขาทำตามนั้น สิ่งที่เขาประจักษ์ต่อสายตาก็คือชิ้นส่วนของนกจากที่ต่างๆได้ลอยกลับมารวมกันเป็นนกมีชีวิตตัวเดิมที่เขาฆ่า
สิ่งที่อิบรอฮีมประจักษ์ด้วยสายตาครั้งนั้นจึงเป็นหลักฐานยืนยันถึงอำนาจของพระเจ้าในการที่จะทำให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งหลังความตายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ และความเชื่อในเรื่องนี้ได้ถูกถ่ายทอดเป็นคำสอนพื้นฐานแก่ลูกหลานของเขาที่ต่อมาได้เป็นศาสดาในศาสนาของชาวยิว ชาวคริสเตียน และมุสลิม
You must be logged in to post a comment Login