วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

“เอสซีจี”แถลงผลประกอบการไตรมาส2พอใจกำไรใกล้เคียงไตรมาสก่อน

On July 26, 2018

นายรุ่งโรจน์รังสิโยภาสกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2561มีรายได้จากการขาย 120,447ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ2จากไตรมาสก่อนเนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีปริมาณขายและราคาขายเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด12,402ล้านบาทลดลงร้อยละ6จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์และรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนในธุรกิจอื่นลดลง แต่ยังคงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เพราะแม้ว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากช่วงฤดูกาลซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างแต่ยังมีรายได้เงินปันผลรับจากเงินลงทุนในธุรกิจอื่นช่วยสนับสนุน

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2561เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 238,697ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมีกำไรสำหรับงวด 24,808ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีกำไรจากการขายเงินลงทุนรวมถึงราคาวัตถุดิบปิโตรเคมีที่สูงขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการส่งออกครึ่งปีแรก64,993ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27ของยอดขายรวม โดยไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจีนอกเหนือจากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561

เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียนเท่ากับ57,044ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24จากยอดขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่นๆ43,019ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ18จากยอดขายรวม

สินทรัพย์รวมของเอสซีจีณวันที่30มิถุนายน2561 มีมูลค่า590,719ล้านบาทโดยร้อยละ25 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกปี2561 แยกตามรายธุรกิจดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2561มีรายได้จากการขาย 57,053ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 8จากไตรมาสก่อนเนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นโดยมีกำไรสำหรับงวด 8,131ล้านบาท ลดลงร้อยละ10จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561มีรายได้จากการขาย109,920ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ6จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นโดยมีกำไรสำหรับงวด 16,266ล้านบาท ลดลงร้อยละ27จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไตรมาสที่ 2 ปี 2561มีรายได้จากการขาย 44,658ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ลดลงร้อยละ 4จากไตรมาสก่อน เนื่องจากสภาพตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและเซรามิกในไทยยังคงซบเซา โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,677ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ6จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ลดลงร้อยละ32จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561 มีรายได้จากการขาย 91,119ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ4จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของตลาดในภูมิภาคโดยมีกำไรสำหรับงวด 4,161ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ8จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจแพคเกจจิ้งในไตรมาสที่ 2 ปี 2561มีรายได้จากการขาย 21,792ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากราคาขายและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ แต่ลดลงร้อยละ 1จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,598ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ59จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ6จากไตรมาสก่อน ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2561มีรายได้จากการขาย 43,773ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ11จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,110ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ16จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “เอสซีจีเดินหน้าขยายธุรกิจหลักสู่ภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นโครงการLong Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรรายแรกในเวียดนามที่คืบหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากนายกรัฐมนตรีของเวียดนามพร้อมด้วยข้าราชการระดับสูงได้ร่วมวางศิลาฤกษ์โครงการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ล่าสุดเอสซีจีได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากร้อยละ71เป็นร้อยละ100เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและมีแผนจะลงนามสัญญาเงินกู้มูลค่าประมาณ3,200ล้านดอล์ลาร์สหรัฐกับสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในเดือนสิงหาคมนี้โดยจะเริ่มดำเนินการออกแบบวิศวกรรมการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์และการก่อสร้างโรงงาน (Engineering, Procurement andConstruction หรือEPC) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2561เพื่อเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในครึ่งปีแรกของปี2566 ซึ่งโครงการนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ สนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนามต่อไป

ส่วนในไทย เอสซีจีได้ขยายกำลังการผลิตของโครงการมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) จากปัจจุบัน 1.7 ล้านตันต่อปี                  เป็น 2.05ล้านตันต่อปี ซึ่งจะทำให้โครงการมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบและสร้างโอกาสในการใช้ก๊าซโพรเพนซึ่งมี                   ต้นทุนต่ำเป็นวัตถุดิบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขัน

นอกจากธุรกิจหลักแล้ว เอสซีจียังสร้างการเติบโตของธุรกิจให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดและพฤติกรรมลูกค้า ด้วยการรุกธุรกิจบริการ จัดจำหน่าย และกระจายสินค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านการร่วมมือกับสตาร์ทอัพที่พัฒนาซอฟต์แวร์และแพลทฟอร์มสำหรับบริหารต้นทุนและซื้อขายสินค้าออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และขยายฐานลูกค้าร่วมกัน

ล่าสุด เอสซีจีได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ29ในPT Catur Sentosa Adiprana Tbk (CSA) ซึ่งเป็นธุรกิจชั้นนำของอินโดนีเซียเพื่อเสริมศักยภาพให้เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งการขยายจำนวนร้านค้าปลีกสมัยใหม่สำหรับสินค้าเกี่ยวกับบ้านและวัสดุก่อสร้างภายใต้ชื่อ “Mitra10” ให้รองรับความต้องการลูกค้าได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน27สาขา ซึ่งมากและครอบคลุมที่สุดในประเทศเป็น50สาขาภายในปี2564และการเพิ่มประสิทธิภาพของการกระจายสินค้าไปยังเครือข่ายร้านค้าปลีกอื่นๆ อีกมากกว่า30,000แห่งทั่วประเทศ ด้วยระบบบริหารคลังสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆหลังจากที่โกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล(GBI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของเอสซีจีได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 30 ในPRO 1 GLOBAL Company Limited ซึ่งเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านและเครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำในเมียนมาภายใต้ชื่อ “Pro1-Global” เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาของร้านซึ่งปัจจุบันมี 6 สาขาและการพัฒนาระบบบริหารSupply chain รวมทั้งIT ให้รองรับOmni Channel ในอนาคต

นอกจากนี้ เอสซีจียังเข้าร่วมทุนกับJusda Supply Chain Management International (JUSDA) เพื่อจัดตั้งบริษัทขนส่งและบริหารจัดการSupply chain ที่ให้บริการทางตอนใต้ของจีนและอาเซียนซึ่งปัจจุบันมีการค้าขายระหว่างสองภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงสินค้าเกษตรและอาหารและธุรกิจต่อยอดแบบคัดคุณภาพรวมทั้งการซื้อขายออนไลน์โดยคาดว่าจะจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

เอสซีจียังมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนในสังคม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไตรมาสที่2ปี2561เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 45,257 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ38ของยอดขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ6จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมียอดขายHVA ในครึ่งปีแรกของปี 2561 ทั้งสิ้น91,101 ล้านบาทโดยล่าสุดได้ลงนามความร่วมมือวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทันตนวัตกรรม ร่วมกับคณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลและทันตแพทยสภา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมไทยสู่การพึ่งพาตนเอง ทำให้ประเทศสามารถลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ร้อยละ 20-30 และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น จากการนำผลิตภัณฑ์ไปขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยของกระทรวงการคลัง รวมทั้งเอสซีจียังได้พัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัลอย่าง Smart Toilet หรือสุขภัณฑ์อัจฉริยะ ของ COTTO ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาดด้วย”

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2561ในอัตรา 8.50บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 10,200ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่22สิงหาคม 2561กำหนดวันที่ XDในวันที่ 8 สิงหาคม 2561และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 9 สิงหาคม 2561


You must be logged in to post a comment Login