วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อ่านมาก…ไม่ดี

On July 26, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก

ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม- 3 สิงหาคม 2561)

ไม่กี่เดือนก่อนภาพคนหลายหมื่นคนที่สนามฟุตบอลสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พร้อมการต้อนรับของ “ขาใหญ่การเมือง” นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางเสียงเชียร์ให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก จนมาถึงการเปิดตัว “กลุ่มสามมิตร” ของ 2 แกนนำการเมือง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยม (กลุ่มมัชฌิมา) และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย พร้อมกับปรากฏการณ์ “ดูดแหลก ทั่วพื้นที่ภาคอีสานและภาคกลาง ซึ่งเป็นการตี “กล่องดวงใจ” พรรคเพื่อไทยโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยหรือแกนนำเสื้อแดง ท่ามกลางกระแสข่าวเม็ดเงินนับสิบล้านและการปลดล็อกคดีความ

ใครด่าไม่ถูกหูต้องชกปาก

แม้ “ลุงตู่” จะปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น และไม่เกี่ยวข้องอย่างไร จะพูดกี่ครั้งกี่ล้านคำพูดก็ไม่มีใครเชื่อ โดยเฉพาะ “การสืบทอดอำนาจ” จนกระทั่ง “ลุงตู่” บอกว่าจะไม่ทนให้ใครด่าอีกต่อไป

“ตอนนี้ถ้าใครด่า ไม่ถูกหู ก็ชกปากเอาแล้วกัน ผมก็มีสิทธิ์ของผมเหมือนกันใช่ไหม ทำไมผมต้องอดทนมากกว่าคนอื่น เพราะเป็นนายกฯหรือไง เป็นนายกฯให้คนมาเหยียบย่ำได้หรือไง ผมไม่เคยเหยียบย่ำใครเลย ที่วิจารณ์ว่าจะต่ออำนาจ จะขยายเวลาต่อ ถามว่าผมได้อะไรกลับมา ทำไมต้องให้คนมาด่า 4 ปีที่ผ่านมาที่ทรมานเพราะอ่านหนังสือพิมพ์และดูโทรศัพท์ วันนี้เลิกอ่านแล้ว ใครด่าก็ชกปากแล้ว ผมไม่เคยทำร้ายใคร แต่ก็มีสิทธิ์ไม่ให้ใครมาเหยียบย่ำได้”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อหน้าประชาชนที่สวนสัตว์อุบลราชธานี (24 กรกฎาคม) ในการประชุม ครม.สัญจรภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และยโสธร) ทั้งยังกล่าวว่า

อย่ากลัวว่าจะเป็นรัฐบาลต่อหรือจะมาผูกขาดอำนาจ เพราะอำนาจอยู่ที่พวกเราทุกคน เรื่องเลือกตั้งอยู่ที่พวกเราจะตัดสินใจ และนายกฯไม่มีมาหาเสียง ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

เลือกคนดีอย่าเลือกแบบเดิม

พล.อ.ประยุทธ์ยังทำเก๋ไก๋ไม่รู้เลยว่าจะอยู่พรรคอะไร พร้อมย้อนถามว่าใครดูดใคร แค่ชวนกันไปชวนกันมา จะไปดูดแดดอะไร เพราะวันข้างหน้าประชาชนเป็นคนเลือกเอง แต่ไม่วายประชดประชาชนว่าถ้าเลือกเหมือนเดิมทุกอย่างก็ตาย

“วันนี้ใครเกลียดผมไม่ชอบผม ขอให้เลิกอ่านหนังสือพิมพ์สัก 5 วันแล้วจะรักผมขึ้นมา ผมไม่เคยเกลียดใคร ที่ผ่านมาเป็นทหารมา 40 ปี มาได้ถึงวันนี้ไม่ได้ไขว่คว้ามาแต่จำเป็นต้องมา วันหน้าใครทำดีกว่านี้ก็แล้วแต่ อยู่ที่ประชาชนจะเรียกหา ผมพยายามทำเต็มที่ ไปไหนก็ไหว้พระอธิษฐานให้คนไทยตลอด ไม่ได้ให้ตัวเอง”

ปัญหาเกิดขึ้นเพราะเลือกผู้นำผิด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่างเพราะการเลือกผู้นำที่ผิด จะมาโทษรัฐบาลฝ่ายเดียวไม่ได้ อยากให้ประชาชนพิจารณาก่อนจะเลือกใครมาเป็นผู้นำ เพราะคนนั้นจะต้องรับผิดชอบ เหมือนกับการเลือกผู้ใหญ่บ้านหรือ อบต. เมื่อถนนพังก็ต้องรับผิดชอบปรับปรุงให้ เช่นเดียวกับตนเองที่ต้องรับผิดชอบทุกเรื่องในประเทศที่เกิดขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า ยิ่งใกล้เลือกตั้งตนเองยิ่งต้องลงพื้นที่ให้มากขึ้นเพื่อชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ การเลือกตั้งครั้งต่อไปเมื่อมีรัฐบาลใหม่จะต้องเป็นรัฐบาลที่ไปได้ทุกที่ ยิ่งมีคนเกลียดยิ่งต้องไป เพราะประชาชนไม่เข้าใจจึงต้องไปทำให้เข้าใจ ขออย่าแบ่งสีแบ่งฝ่าย ใครจะไม่ชอบตนเองก็ไม่เป็นไร แต่ทหารทุกคนรักชาวบ้าน ทุกที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี รัฐบาลลงพื้นที่เพื่อต้องการรับทราบปัญหาและแก้ปัญหาให้กับทุกพื้นที่ ไม่ได้ลงพื้นที่มาหาเสียง และไม่ได้มาหว่านเงินให้กับประชาชน เพราะเงินที่นำมาใช้เป็นเงินของประชาชน และเป็นงบประมาณของแผ่นดินที่ตั้งไว้

เอาขี้ข้าเขามาใช้ ไม่ตายก็ไม่โต

คำพูดและท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ในการลงพื้นที่อีสานล่างครั้งนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเหมือนการระบายความอึดอัดใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ทั้งเรื่องการ “สืบทอดอำนาจ” และปรากฏการณ์ “ดูดแหลก” ของ “กลุ่มสามมิตร” ซึ่งประกาศชัดเจนว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐนตรี แม้จะมีหลายกลุ่มหลายพรรคการเมืองที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่แกนนำและอิทธิพลทางการเมืองก็ห่างชั้น “กลุ่มสามมิตร” อย่างมาก

แม้อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จะออกมาเกทับว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างถล่มทลายอีกครั้งก็ตาม แต่สถานการณ์ที่ปรากฏทั้งภายในพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายต่างๆที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ถูกกวาดล้างจนแทบรวมตัวกันไม่ติด โดยเฉพาะคดีความต่างๆที่แกนนำหลายคนถูกดำเนินคดีหรือแช่แข็งไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง

กระแสข่าวการดูดมีทั้งเม็ดเงินก้อนใหญ่และการปลดล็อกคดีความ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ “อะไรก็เกิดขึ้นได้” แม้แต่ “อภินิหารทางกฎหมาย เพื่อเอาผิดฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายที่เห็นต่าง

ขณะที่ 2 พรรคใหญ่คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำได้แค่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงการเมืองแบบเดิมๆและนักการเมืองน้ำเน่าเดิมๆภายใต้ประชาธิปไตยแบบไทยๆเพื่อ “สืบทอดอำนาจ” ไม่ใช่การปฏิรูปการเมืองอย่างที่รัฐบาลทหารโฆษณาชวนเชื่อ

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจึงอยู่ที่ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุน “ระบอบ คสช.” หรือพรรคการเมืองที่ประกาศจะเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยรื้อทิ้ง “มรดก คสช.” ที่ขัดหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ซึ่ง 4 ปีมีประกาศ/คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. มากกว่า 500 ฉบับ

ขณะที่นักวิชาการและฝ่ายประชาธิปไตยมองว่าปรากฏการณ์ “ดูดแหลก” กับภาพความเป็นจริงอาจแตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะยิ่งมีข่าวการดูดมากเท่าไรก็ยิ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของ “ระบอบ คสช.” เพราะไม่ได้มาด้วยความศรัทธาของประชาชน แต่มาเพราะการเมืองแบบเดิมๆ นักการเมืองน้ำเน่าเดิมๆ

แม้แต่นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ยังโพสต์เฟซบุ๊คเตือน “พลังดูด” อย่าคิดว่าพรรคเพื่อไทยเป็น “เสือตาย” เพราะบทเรียนครั้ง คมช. พลังประชาชนก็ชนะท่วมท้น หรือครั้งรัฐบาลในค่ายทหารยุบสภา พรรคเพื่อไทยก็ชนะท่วมท้นเช่นกัน

นายไพศาลเตือนว่า ชัยชนะและปราชัยในสงครามเลือกตั้ง ปัจจัยแรกขึ้นอยู่กับ “แม่ทัพ” ว่าไผเป็นไผ ซึ่งโบราณว่า “เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม นอนตายตาไม่หลับ” แต่ปัจจุบันอาจต้องเพิ่มเติมว่า “เอาขี้ข้าเขามาใช้ ผลบั้นปลายไม่ตายก็ไม่โต”

นายกฯ(เกิด)อีสาน

“ลุงตู่สู้ๆ” เสียงเชียร์ที่อุบลฯไม่ว่าจะเป็นคนที่มาต้อนรับหรือถูกต้อนให้มาก็ตาม ก็เชื่อว่าทำให้ “ลุงตู่” เคลิ้มอย่างมาก ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ถ้ารักลุงตู่…ลุงตู่สู้ตาย” ท่ามกลางการจุดกระแส “ลุงตู่” ให้เป็น “นายกฯ(เกิด)อีสาน” เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เกิดในค่ายสุรนารี เมืองย่าโม

การปั่นกระแส “นายกฯ(เกิด)อีสาน” จะทำให้คนอีสานเปลี่ยนใจ “รักลุงตู่” แทน “รักแม้ว” หรือไม่ ก็ต้องรอผลหลังการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับผลสำรวจล่าสุดของ “นิด้าโพล” ที่ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 31.26 เลือก “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง แม้คะแนนจะลดลงจากการสำรวจ 2 ครั้งก่อนหน้านี้คือ ร้อยละ 38.64 และ 32.24 แต่อย่างน้อยก็ยังทิ้งห่าง 2 คู่แข่งคือ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ ขณะที่อันดับ 4 และ 5 คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

มั่วข้อมูลคนไทยอ่าน 8 บรรทัด

ไม่ว่าจะเป็นกระแสเชียร์เพราะการจัดตั้งหรือโพลเชลียร์ที่มีการตอกย้ำอย่างต่อเนื่องก็เชื่อว่าเป็นพลังสำคัญที่ทำให้ “ลุงตู่” เชื่อมั่นตัวเองว่าเป็นที่ต้องการของประชาชน เพราะรัฐบาลทหารมีผลงานเพียบ “ลุงตู่” จึงทำได้ทุกอย่างเมื่อลงพื้นที่พบประชาชน ไม่ว่าจะพูดกับกบ พูดกับไก่ ซิ่งมอเตอร์ไซค์ หรือขี่สามล้อ

ขณะที่ปรากฏการณ์ “ดูดแหลก” ก็ถูกเย้ยหยันว่าดูดได้แค่ “เศษเหล็ก” แทนที่จะดูด “เพชร” หรือได้อำนาจเพราะ “เอาขี้ข้าเขามาใช้” ซึ่งยิ่งสะท้อนคำพูด “ลุงตู่” ที่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่างเพราะการเลือก “ผู้นำผิด

“ลุงตู่” บอกตัวเองไม่ได้เป็นนายกฯวิเศษวิโสอะไร แต่คุยว่า 4 ปีที่ผ่านมามีผลงานเพียบ พร้อมทั้งโอ้อวดตัวเองว่า “อ่านหนังสือวันละ 800 บรรทัด” จึงอยากให้คนไทยที่อ่านหนังสือแค่วันละ 8 บรรทัดเข้าถึงความรู้ต่างๆมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่าเมื่อประชาชนมีความรู้มากขึ้นก็ต้องมีความคิดเห็นของตัวเองมากขึ้น แต่หากไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น พูดอะไร คิดอะไรที่แตกต่างจาก “ทั่นผู้นำ” ไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร ยิ่งไม่อยากให้คนไทยไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตนเองถูกวิจารณ์ด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องแปลก

ที่สำคัญข้อเท็จจริงคือคนไทยไม่ได้อ่านหนังสือแค่วันละ 8 บรรทัดอย่างที่ “ทั่นผู้นำ” อ้าง เพราะจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ระบุว่าปี 2558 คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 66 นาที หากนาทีหนึ่งอ่านได้ 6 บรรทัด วันหนึ่งโดยเฉลี่ยคนไทยก็อ่านหนังสือไปประมาณ 400 บรรทัด

นายเดชรัตน์ สุขกำเนิด นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า ผลการสำรวจดังกล่าวรายงานถึงนายกรัฐมนตรีด้วย และโฆษกรัฐบาลก็แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้วว่าคนไทยอ่านหนังสือวันละ 66 นาที (วันที่ 19 เมษายน 2559) แต่นายกรัฐมนตรีก็ยังพูดว่า “คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด” ซึ่งเป็นเหมือน “มายาคติ” ที่ใช้เหยียดคนไทยด้วยกันว่าอ่านหนังสือน้อย แต่กลับยกย่องตนเองว่าอ่านวันละ 800 บรรทัด โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง ทั้งที่ก็ได้รับทราบ (อ่าน?) ข้อมูลนั้นแล้วด้วยซ้ำ

อ่านมาก..ไม่ดี

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ (27 มีนาคม 2561) ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้แจกหนังสือ “จินดามณี ให้ผู้เข้าร่วมประชุม ครม. ว่า “(คณะรัฐมนตรี) มีการท่องจินดามณีให้นายกฯฟังหรือยัง? พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “มีๆ มีร้อยกว่าบท” และถามผู้สื่อข่าวว่า “ท่องได้หรือยังล่ะ อยากให้อ่านหนังสือจินดามณีด้วย ไม่ใช่อ่านเพียงเรื่องบุพเพสันนิวาส” จากนั้น “ทั่นผู้นำ” ก็ท่องโชว์ให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า

“ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย”

ซึ่งบทกลอนที่ท่องออกมานั้นไม่ใช่จินดามณี แต่เป็นท่อนหนึ่งจาก “นิราศภูเขาทอง” ของ “สุนทรภู่” ซึ่งเป็นนิราศที่ประพันธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2373 หลังจากตำราจินดามณีประมาณ 150 ปี

จึงไม่แปลกที่มี “ทั่นผู้นำเผด็จการ” บางประเทศที่ประกาศอยากจะ “ชกปาก” คนเห็นต่างที่วิพากษ์วิจารณ์และชอบตั้งคำถามเรื่อง “ดูด” ว่า “ตั้งใจจะสืบทอดอำนาจหรือไม่?”

เพราะ “ผู้นำเผด็จการ” ทุกหนแห่งไม่ต้องการให้ใครวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความเห็นต่าง

กว่า 4 ปีที่ประเทศไทยมี “ทั่นผู้นำ ที่คนไทยไม่ได้เลือก “ทั่นผู้นำ” ที่อ่านหนังสือวันละ 800 บรรทัด อ่านมากจนไม่รู้เล่มไหน “จินดามณี” หรือเล่มไหน “นิราศภูเขาทอง” (ไม่รู้ว่า 800 บรรทัดที่อ่านนั่นคือหนังสืออะไร) แถมยังแนะนำไม่ให้คนไทยอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่รับฟังคำวิจารณ์ ไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่าง…

ขอถามคนไทยที่ยังไม่เคยคิดตั้งสติ.. “ยังบ้ากันไม่พอหรือไง?”


You must be logged in to post a comment Login