- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
12องค์กรผนึกความร่วมมือพัฒนาเครือข่ายนักวิจัยประเมินงานสร้างเสริมสุขภาพเชิงเศรษฐศาสตร์
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการประชุมวิชาการการประเมินงานสร้างเสริมสุขภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย และร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายวิชาการการประเมินงานสร้างเสริมสุขภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ 12 องค์กร เพื่อร่วมกันพัฒนาประเมินผลงานสร้างเสริมสุขภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ และพัฒนาเครือข่ายนักวิจัยเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ว่า ในช่วง 3 ทศวรรษหลัง การเจ็บป่วยของประชาชนมีความเปลี่ยนแปลงเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากกว่าโรคติดเชื้อ คนไทย 73% หรือ 3 ใน 4 เสียชีวิตจากโรค NCDs มากถึง 90% สาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง คือ โรคมะเร็ง จากเดิมคือโรคเอดส์ การเจ็บป่วยและเสียชีวิตอยู่นอกโรงพยาบาล ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางสังคม สิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ ดังนั้นการแก้ปัญหาต้องใช้วิธีใหม่ๆ เรียนรู้ศาสตร์ใหม่ การสร้างความร่วมมือจากหลายส่วน การประเมินผลเชิงเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หรือการประเมินความคุ้มค่าการทำงานเริ่มมีบทบาทและมีความจำเป็นมากขึ้น สสส. ซึ่งเป็น 1 ใน 16 องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทอพ.) เพื่อรองรับภารกิจภาครัฐที่ต้องการเครื่องมือใหม่ๆ มาเสริมการทำงานให้มีความคล่องตัวไม่ติดอยู่กับระเบียบราชการ ต้องมีการประเมินผลงานที่เข้มข้นจริงจัง
“ทุกปี สสส. ต้องรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติ ต้องตอบคำถามต่อสังคม และสื่อมวลชนที่ชัดเจน ทุกคำถามต้องการข้อมูลทุกมิติ และมีคำว่าคุ้มค่าต่อการทำงานตลอด งานสร้างเสริมสุขภาพมีความซับซ้อนมากขึ้น การประเมินผลงานจึงต้องมีความหลากหลายและรอบด้าน เช่น การลดจำนวนคนดื่มสุรา มีความคุ้มค่าหรือไม่ ทำอย่างไรให้คนเลิกดื่มสุรา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องทั้งมิติชุมชน สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ฯลฯ ขณะที่วิธีการประเมินผลในปัจจุบัน ยังมีข้อจำกัดด้านความชัดเจนและการนำไปใช้ เพราะขึ้นอยู่กับบริบทนั้นๆ ดังนั้นการประเมินจึงต้องมีการวัดผลและแสดงผลลัพธ์หลายแบบ มีการประยุกต์จากหลายศาสตร์ ต้องมีการพัฒนาเครื่องมือใหม่ และแนวทางการประเมินความคุ้มค่าใหม่ที่ได้ผลและเป็นที่ยอมรับ ซึ่งเป็นความยากและท้าท้ายอย่างยิ่ง” ดร.สุปรีดา กล่าว
ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานการประเมินงานสร้างเสริมสุขภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย กล่าวว่า แผนงานฯ มีภารกิจงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาวิชาการความรู้และเครื่องมือ การวิเคราะห์ต้นทุนการเจ็บป่วยจากปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ การศึกษาระเบียบวิธีวิจัยเชิงสุขภาพ การพัฒนาตัวชี้วัดการประเมินความคุ้มค่า 2.สนับสนุนการประเมินความคุ้มค่าการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น เด็กไทยแก้มใส งดเหล้าเข้าพรรษา 3.สนับสนุนการพัฒนานักวิจัย เครือข่ายนักวิจัย และ 4.พัฒนาข้อมูลสารสนเทศด้านการสร้างเสริมสุขภาพเชิงเศรษฐศาสตร์ ทั้งนี้ การลงนามข้อตกลงฯ เป็นความร่วมมือสำคัญสนับสนุนและพัฒนาครือข่ายการประเมินงานสร้างเสริมสุขภาพ
ศ.ดร. ศิริเพ็ญ ศุภกาญจนกันติ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการทบทวนวรรณกรรมงานวิจัยเกี่ยวข้องกับการวิจัยและประเมินผลการสร้างเสริมสุขภาพของไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หรือนักเศรษฐศาสตร์สุขภาพเกือบ 2,000 คน ในจำนวนนี้เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพเพียง 178 คน ส่วนใหญ่เป็นการประเมินผลประสิทธิภาพของยา และเครื่องมือทางการแพทย์ ขณะที่การประเมินผลการสร้างเสริมสุขภาพยังมีน้อย เพราะการประเมินต้องทำทั้งระบบ แต่ปัญหาคือนักวิจัยไม่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลได้ และจำเป็นต้องใช้หลานฐานข้อมูล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างฐานข้อมูล หรือเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการประเมินผลความคุ้มค่าของการสร้างเสริมสุขภาพที่ถูกต้องและใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อดีตอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การประเมินผลงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ต้องเรียนรู้และมีความเข้าใจรอบด้าน เช่น การเลิกสูบบุหรี่ หรือเลิกดื่มสุรา 1 เดือน ไม่สามารถวัดความคุ้มทุนได้เพียงการประหยัดค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีคุณค่าตามมาด้วย เช่น สุขภาพจิต การเกิดโรคมะเร็ง ฯลฯ ดังนั้นการประเมินความคุ้มค่างานสร้างเสริมสุขภาพ ไม่สามารถพิจารณาเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งได้ ต้องพิจารณาภาพรวม ซึ่งเป็นโจทย์ที่กว้างและท้าท้ายมาก
ทั้งนี้ สำหรับหน่วยงานที่ร่วมลงนามฯ 12 องค์กร ประกอบด้วย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทย์ศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะเภสัชศาสตร์ และคณะวิทยาลัยการจัดการระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มูลนิธิโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และ สสส.
You must be logged in to post a comment Login