- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 1 month ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 1 month ago
- โลกธรรมPosted 1 month ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
ธรรมะทำได้ในชีวิตประจำวัน

คอลัมน์ สันติธรรม “ธรรมะทำได้ในชีวิตประจำวัน”
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข 3-10 สิงหาคม 2561)
ความสงบและความสันติสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา ผู้ปกครองประเทศทุกคนตระหนักดีว่าถ้าประเทศของตนมีข้าศึกมารุกรานรังควานประชาชนของตนอยู่ ทางที่จะนำความสงบกลับคืนมาได้ก็คือการปราบปรามศัตรูผู้รุกราน
ในระดับบุคคล แม้ไม่มีข้าศึกรุกรานแต่มนุษย์บางคนรู้สึกใจไม่เป็นสุขเพราะภาระที่อยู่รอบตัวคอยรังควาน เช่น ตำแหน่ง ทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย แต่เนื่องจากไม่สามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ได้จึงเลือกทางออกโดยการละทิ้งหรือไม่ก็หนีจากสิ่งเหล่านี้ไปเป็นฤาษีชีไพร หรืออุทิศตนเป็นนักพรตแสวงหาความสงบหรือทางรอดทางจิตวิญญาณแต่เพียงลำพัง
บางคนสุดโต่งจนถือว่ามนุษย์เกิดมาโดยไม่มีเสื้อผ้า เมื่อต้องใส่เสื้อผ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อผ้าจึงถูกมองว่าเป็นภาระของชีวิต คนกลุ่มนี้จึงดำรงชีวิตเป็นฤาษีชีเปลือย โดยถือว่าการทำเช่นนี้คือการปฏิบัติธรรม ในอินเดียยังมีผู้คนประเภทนี้ให้เห็นอยู่มากมาย
ในแผ่นดินอาหรับก่อนหน้าอิสลาม ชาวอาหรับบางเผ่าเดินทางมาทำฮัจญ์โดยเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺในสภาพร่างกายเปลือยเปล่า คนประเภทนี้คิดว่าการมาทำฮัจญ์เหมือนกับการเกิดใหม่ จึงแสดงออกถึงการเกิดใหม่ด้วยการเวียนรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺโดยไม่ใส่เสื้อผ้า และคนเหล่านี้ถือว่าตัวเองกำลังปฏิบัติธรรม
ในหมู่สาวกของพระเยซูก็มีผู้หาทางรอดพ้นทางจิตวิญญาณโดยการละทิ้งชีวิตครอบครัวและปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตสันโดษในสำนักสงฆ์หรือสำนักปฏิบัติธรรมที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน บางส่วนอุทิศตนเป็นนักบวชที่สละโลกเพื่อเรียนธรรมะและปฏิบัติธรรมเพื่อตนเองและสั่งสอนผู้อื่น
ในอดีตที่สังคมยังไม่มีความสลับซับซ้อน นักบวชมีส่วนสำคัญในการดำรงรักษาคำสอนทางศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งเชื่อมโยงพระเจ้ากับมนุษย์ เชื่อมโยงโลกหน้ากับโลกนี้ และเชื่อมโยงวัตถุกับจิตวิญญาณ
แต่เมื่อโลกพัฒนาไปตามกาลเวลาจนมนุษย์ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอยู่ในตลาดและสำนักงาน การที่ทุกคนจะปลีกตัวออกไปปฏิบัติธรรมตามลำพังในป่าเขาหรือสำนักสงฆ์ไม่อาจเป็นไปได้ แต่การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องดีที่มนุษย์ทุกคนควรปฏิบัติ ดังนั้น อิสลามจึงได้มาปฏิรูปการปฏิบัติธรรมโดยกำหนดให้ทุกคนปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
การนมัสการพระเจ้าหรือพิธีกรรมทางศาสนาที่เป็นหน้าที่ของนักบวชในอดีตถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาในพระเจ้าทุกคน พิธีกรรมที่ใช้เวลายาวนานถูกลดให้สั้นลงเหลือไม่เกินสิบนาที ทำวันละ 5 ครั้ง และยังสามารถทำที่บ้านหรือที่สำนักงานก็ได้ แต่หากร่วมกันที่มัสยิดก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้น มัสยิดจึงถูกตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ศรัทธาปฏิบัติศาสนพิธี
การปลีกวิเวกเพื่อแสวงหาความสงบทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งในอดีตมีผู้คนเคยปลีกตัวออกไปตลอดชีวิต ได้ถูกจำกัดให้ทำในมัสยิดในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนถือศีลอดเท่านั้น ส่วนการถือศีลอดที่ในอดีตมีแต่นักบวชหรือคนบางกลุ่มบางเพศปฏิบัติได้ถูกอิสลามกำหนดให้ผู้ศรัทธาทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยต้องถือปฏิบัติเป็นเวลา 1 เดือนของทุกปี
ที่กล่าวมาคือการปฏิบัติธรรมโดยมีพิธีกรรมที่เป็นรูปแบบเฉพาะ แต่การปฏิบัติธรรมในอิสลามยังหมายรวมถึงการปฏิบัติสิ่งใดก็ตามในชีวิตประจำวันตามที่พระเจ้าสั่งใช้และงดเว้นสิ่งที่พระเจ้าห้ามด้วยความศรัทธาในพระองค์
ด้วยเหตุนี้การประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวโดยสุจริต การศึกษาหาความรู้ตามคำสั่งของพระเจ้า จึงเป็นการปฏิบัติธรรม การละเว้นจากความชั่วที่พระเจ้าห้ามก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรม และได้รับผลบุญตอบแทนเพราะความเชื่อฟัง
นบีมุฮัมมัดเคยกล่าวว่าแม้แต่การหลับนอนกับภรรยาของตนเองก็มีผลบุญ สาวกบางคนสงสัยว่ากิจวัตรธรรมดาอย่างนี้ยังมีผลบุญตอบแทนด้วยหรือ ท่านนบีจึงถามว่าหากพวกท่านไปหลับนอนกับผู้หญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาถือเป็นบาปไหม ทุกคนตอบรับว่าเป็นบาป นบีมุฮัมมัดจึงตอบว่าในเมื่อท่านหลีกห่างจากการทำบาป การหลับนอนกับภรรยาของท่านจึงเป็นการปฏิบัติธรรมและย่อมได้รับผลบุญตอบแทนจากพระเจ้า
You must be logged in to post a comment Login