- ปีดับคนดังPosted 10 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
‘บ้าบอคอแตก’
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่วันที่ 3-10 สิงหาคม 2561)
“จดหมายเปิดผนึก” ของนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ขอโทษอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งตนเคยมีส่วนร่วมใน “แผนสมคบคิด” ทางการเมืองตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เพื่อล้มล้างรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ได้กลายเป็น “นคร มาแฉ” แฉปฏิบัติการสมคบคิดกันสนั่นเมือง เพราะไม่ใช่แค่พรรคประชาธิปัตย์ทั้งคลั่งและแค้นเท่านั้น แต่ยังทำให้บรรดานายทุน ขุนศึก อำมาตย์ และสลิ่ม ก็คลั่งแค้นไปด้วย เพราะทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าร่วมอยู่ใน “แผนสมคบคิด” ใช้สารพัดวิธีและทุกองคาพยพเพื่อล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นซาก
ยึดอำนาจด้วยปืน ยุบพรรคด้วยกฎหมาย
ข้อความที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คไม่ต่างอะไรกับจดหมายเปิดผนึกถึงอดีตนายกฯทักษิณ เมื่อนายนครยอมรับว่าอดีตนายกฯทักษิณบริหารชาติบ้านเมืองได้ดีและมีนโยบายใหม่ๆ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สร้างสนามบินสุวรรณภูมิ การค้าการลงทุนเฟื่องฟูเจริญรุ่งเรือง ทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ส.ส. แบบถล่มทลายถึง 377 เสียง จาก 500 เสียง เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมือง
“ผมอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็มองอย่างแปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ทำไมท่านจึงชนะใจประชาชน และเหตุใดพวกเราพ่ายแพ้ต่อท่านอย่างยับเยิน ทั้งที่พวกเราและแนวร่วมฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีความพร้อมทั้งทุน เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก กลุ่มศักดินา อำมาตย์ และเครือข่ายข้าราชการ ได้ใช้สรรพกำลังทุกองคาพยพอย่างเต็มที่แล้ว ใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ใช้วาทกรรมทำลายทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะรวยแล้วโกง โกงทั้งโคตร ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ แต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งความนิยมในตัวท่านและพรรคของท่านได้
ขณะนั้นพวกเราตื่นตระหนกกันมาก จึงร่วมกันทุกฝ่ายระดมสรรพกำลัง ทั้งฝ่ายการเมือง ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายข้าราชการประจำ และที่สำคัญที่สุดและแนบเนียนที่สุดคือฝ่ายตุลาการระดับสูงบางคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาฝ่ายเผด็จการอนุรักษ์นิยมในนามตุลาการภิวัฒน์ ร่วมกันขย้ำท่านและพรรคของท่านให้ตายคามือ ยึดอำนาจด้วยปืน ยุบพรรคท่านทิ้งด้วยกฎหมาย ตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหาร
เมื่อนักการเมืองแถวสองมาในนามพรรคพลังประชาชน ทำไมพวกท่านยังชนะการเลือกตั้งอยู่ พวกเราจึงร่วมกันใช้วิธีการเดิม ยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธ ยุบพรรคท่านทิ้งด้วยอำนาจทางกฎหมาย นักการเมืองพวกท่านแถวที่สามมาตั้งพรรคใหม่ชื่อเพื่อไทย เอาน้องสาวท่านซึ่งไม่ประสีประสาเรื่องการเมืองมาลงก็ชนะพวกเราอีก มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยส่วนใหญ่ ท่านมีดีอะไร ทำไมท่านจึงชนะตลอด และทำไมฝ่ายเราที่ครองอำนาจมายาวนานมีครบเครื่องทุกองคาพยพจึงพ่ายแพ้ตลอด และไม่เห็นช่องทางที่จะชนะท่านได้เลย
สุดท้ายพวกเราจึงปรึกษากันว่าคงจะต้องให้ทหารยึดอำนาจอีก และเพื่อตอกฝาโลงก็ใช้กระบวนการยุติธรรมในมือตัดสินเอาผิดอีก ท่านกับน้องสาวจะต้องไม่อยู่ในประเทศ เพราะถ้าท่านอยู่พวกเราคงจะไม่ได้มีโอกาสชนะและกลับมาครองอำนาจเป็นแน่ พวกท่านอยู่ต่างประเทศคงจะสบายดีนะ พวกเราขอแช่แข็งประเทศสัก 5-20 ปีก่อน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าพวกเราจะบริหารจัดการอำนาจและปกครองแบบเบ็ดเสร็จ
การสมคบคิด การวางแผนการยึดอำนาจ กระบวนการทำลายประชาธิปไตย ทำลายอำนาจของประชาชน มีอยู่จริง ไม่ใช่เป็นแค่เพียงทฤษฎี แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่มันคือสงคราม สงครามระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการและแนวร่วมฝ่ายเผด็จการ ในหลายๆเรื่อง หลายๆเหตุการณ์ หลายๆสถานการณ์ ผมอยู่และรับรู้จากเหตุการณ์จริงนั้นด้วย
แต่พอมีสติพิจารณาศึกษาอย่างรอบด้านจึงรู้ว่าเหตุผลที่ทำให้ท่านชนะเพราะท่านทำเพื่อประชาชนในวิถีประชาธิปไตย เหตุผลที่ฝ่ายเราพ่ายแพ้ตลอด เพราะฝ่ายเราทำเพื่อนายทุน ขุนศึก และศักดินาอำมาตย์ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ที่สำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันและรู้ความจริงทุกอย่างแล้วว่าใครเป็นใคร ใครต่อสู้เพื่อประชาชนและประชาธิปไตย ใครต่อสู้เพื่อเผด็จการและเครือข่ายเผด็จการ”
นายนครขอโทษอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ทั้งขอร่วมต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย นำพาประเทศให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการที่กดขี่ข่มเหง ทั้งอวยพรวันเกิดอดีตนายกฯทักษิณครบ 69 ปี โดยเชื่อว่าอีกไม่นานฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชนจะชนะฝ่ายเผด็จการแน่นอน
ประชาธิปัตย์เตรียมฟ้อง “นคร”
“จดหมายเปิดผนึก” ของนายนครส่งแรงสะเทือนอย่างสูงในทางการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าได้ให้ทีมกฎหมายฟ้องดำเนินคดีกับนายนคร กรณีใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ว่าสมคบกับนายทุน ทหาร ล้มล้างรัฐบาลด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง กล่าวหาว่ามีการสมคบกับตุลาการเพื่อให้ฝ่ายโน้นแพ้คดี ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ ทำให้พรรคเสียหาย ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษรุนแรงกว่าหมิ่นประมาท ส่วนที่นายนครระบุว่ามีหลักฐานพร้อมจะเปิดเผยในชั้นศาลก็ขอให้เปิดเผยเลย
ขณะที่ “หมอวรงค์” นายวรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยทำงานร่วมกับนายนครในการเปิดเผยการทุจริตต่างๆในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่าช่วงแรกพรรคประชาธิปัตย์ได้รับผลกระทบจากข้อมูลที่นายนครเขียน แต่เชื่อว่าต่อไปประชาชนจะเข้าใจและมองออก
ทำไมบอยคอต 2 ครั้ง ยึดอำนาจ 2 ครั้ง?
นายนครได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆโดยยืนยันว่ามีการสมคบคิดล้มล้าง “2 พี่น้องตระกูลชินวัตร” จริง และพร้อมจะเปิดเผยที่ศาล อยากฝากถึงพี่น้องฝ่ายการเมืองและผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตนเคารพรักเหมือนเดิมว่า ปลายลูกธนูของตนต้องการพุ่งเป้าไปที่ใจกลางของระบอบเผด็จการ ไม่ต้องการเสียเวลากับการโต้เถียงกันไปมา ที่ถามว่าทหารคนไหน ตุลาการคนไหน ใครบ้าง พวกเขารู้อยู่แก่ใจ ถ้าไม่อย่างนั้นจะนำไปสู่กระบวนการในการยึดอำนาจได้อย่างไร และขอถามกลับย้อนไปว่าทำไมพรรคถึงบอยคอตการเลือกตั้ง
นายนครตั้งคำถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายชวน หลีกภัย ในฐานะผู้มีบารมีในพรรค กล้าประกาศต่อสาธารณะและกล้ายืนยันชัดๆหรือไม่ว่า เลือกตั้งครั้งหน้าอย่างไรก็จะไม่เอานายกฯคนนอก ไม่เอาพวก คสช. มาเป็นนายกฯ เอาให้ชัดได้ไหมว่าอย่างไรก็จะล้างระบอบเผด็จการด้วยกัน ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มาร่วมกันล้างมรดกบาปด้วยกัน กล้าประกาศต่อสาธารณะหรือไม่ ถ้ากล้าประกาศประชาชนจะให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากไม่กล้าประกาศเท่ากับทรยศประชาชน อะไรแฝงถึงไม่กล้า ถ้าอ้ำๆอึ้งๆกั๊กๆมันไม่แฟร์กับประชาชน แล้วเหตุผลอะไรประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้งมา 2 ครั้ง แล้วทั้ง 2 ครั้งถูกทหารยึดอำนาจทุกครั้ง อะไรคือคำตอบ ประชาธิปัตย์ต่างหากที่จะต้องมาชี้แจง
“โอ๊ค” โพสต์พลังดูดด้านมืด 3 ด้าน
“โอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค Oak Panthongtae Shinawatra เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม กรณีจดหมายของนายนครถึงการสมคบคิดเพื่อล้มล้างพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยว่า ที่ผ่านมากลุ่มสมคบคิดทั้งหลายได้ขจัดอดีตนายกฯจนพ้นทางไปแล้วถึง 4 คน “ทักษิณ-สมัคร-สมชาย-ยิ่งลักษณ์” จนพ่อและอาปูไม่สามารถอยู่ในเมืองไทยได้ กลุ่มดังกล่าวยังวางแผนที่จะแช่แข็งประเทศไทยไปอีก 5-20 ปี จนกว่าจะสามารถจัดการอำนาจในการปกครองบริหารประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จตามข่าวนั้น
เนื่องจากข่าวการเมืองในช่วงนี้มีแต่เรื่องการดูด ส.ส. ไปเข้ากับขั้วการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ ดังนั้น การโพสต์ของนายนครจึงถือเป็นการต่อต้านอำนาจเผด็จการอย่างสันติวิธี ยังมีคนที่ไม่หวั่นไหวพร้อมจะยืนอยู่บนหลักการแห่งความถูกต้อง โดยมีศูนย์กลางที่ยึดมั่นอยู่ที่พี่น้องประชาชนเท่านั้น จึงไม่หวั่นไหวต่อการดูดใดๆทั้งสิ้น เท่าที่ตนได้ยินมาเครื่องมือที่ใช้ดูดในปัจจุบันประกอบด้วยปัจจัยอันทรงพลังทางด้านมืด 3 ด้าน ซึ่งไม่รู้ว่า “3 พลังดูด” ที่ว่าเกี่ยวพันอะไรกับคำว่า “3 มิตร” หรือไม่ ได้แก่
1.การใช้พลังเงิน ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าใครหาเงินเหล่านี้มา? หามาจากไหน? และหามาด้วยวิธีใด? กล่าวคือ ไม่มีที่มาของเงิน ไม่มีนายทุนและที่มาของแหล่งเงินทุน แต่เงินเหล่านี้มีจำนวนมหาศาลและได้ถูกนำมาใช้ทุ่มซื้อตัว ส.ส. บางประเภทจนปลิวลอยไปตามแรงดูดให้ไหลไปตกรวมกัน ณ จุดที่เจ้าของเงินต้องการได้ดังใจ
การใช้เงินอันทรงพลังอีกทางหนึ่งยังได้มาจากการนำเงินงบประมาณมาถลุงในโครงการของ ”รัฐ” ที่ตั้งชื่อให้คล้ายกับชื่อพรรคตั้งใหม่พรรคหนึ่ง นำเงินที่ได้จากภาษีอากรมาใช้หาเสียงควบคู่ไปด้วยกันระหว่างรัฐกับพรรคการเมือง เงินไม่พอก็ตั้งเรื่องหาช่องทางขูดรีดภาษีเพิ่มขึ้นไปอีก เท่ากับเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนในลักษณะ “อัฐยาย-ซื้อเสียงยาย” ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นคุยกันเรื่องการเมืองยังแทบจะทำไม่ได้ กระบวนการแข่งขันแบบนี้แมนโคตรๆ
2.การใช้พลังองค์กรอิสระ ข่มขู่อดีต ส.ส. ว่าจะตรวจสอบทุกเรื่องที่สามารถจะหามาเอาผิดได้ถ้าไม่ยอมย้ายพรรคไปอยู่ด้วย ทั้ง ส.ส. ที่โดนดูดและอดีตนักการเมืองที่ถูกใช้ให้เดินสายดูดต่างก็โดนชนักปักหลังบังคับให้ต้องไปอยู่ฝั่งเดียวกันจึงจะรอดคดีที่โดนตรวจสอบได้
3.การใช้พลังของข้าราชการในแต่ละกรมกอง เฉพาะที่สวามิภักดิ์ต่อเผด็จการ ใช้อำนาจทางด้านการปกครอง การออกใบอนุญาต การให้คุณให้โทษทางด้านต่างๆที่อำนาจรัฐพึงกระทำได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ออกเดินสายต่อรอง ถ้ามาอยู่พรรคนี้จะได้การช่วยเหลือต่างๆ ช่วยกันดูดอดีต ส.ส. อย่างไม่อายฟ้าดิน
ทั้ง 3 พลังดูดต่างจากพรรคไทยรักไทยโดยสิ้นเชิงที่คิดนโยบายใหม่ๆและวิธีการบริหารที่ชนะใจประชาชน จนเกิดกระแสที่ประชาชนต้องการพรรคการเมืองที่คิดใหม่ ทำใหม่ ทำให้ ส.ส. ยินดีที่จะย้ายพรรค เพราะกระแสพรรคจะช่วยให้ ส.ส. ชนะเลือกตั้งได้ง่ายขึ้น เงินทองที่นำมาใช้ในการทำพรรคการเมืองก็มีที่มาที่ไป และใช้ในการลงพื้นที่เพื่อนำนโยบายไปนำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ใช้เงินเพื่อซื้อตัวอดีต ส.ส. เพื่อให้หาคะแนนให้ปาร์ตี้ลิสต์ แต่ตัวผู้สมัครเองกลับสอบตกที่มาสังกัดพรรคการเมืองที่ประชาชนไม่ต้องการ
ดังนั้น แม้จะดูดไป แต่ Majority หรือเสียงส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังอยู่ที่เดิม และจะมีคะแนนเสียงเทมามากขึ้นกว่าเดิมแบบ Land Slide!! ซึ่งพรรคที่อุตส่าห์ตั้งชื่อให้เหมือนชื่อโครงการของภาครัฐจะแพ้หมดรูป ต้นปีหน้าจะกล้าจัดให้มีการเลือกตั้งเหรอ
รัฐประหาร “กระโปรงลายพราง”
การโพสต์ขอโทษของนายนครและการแฉ พร้อมกับปรากฏการณ์ “ดูดแหลก” ยิ่งทำให้คลิปงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตนายกฯทักษิณเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งครบรอบ 69 ปี ที่กรุงลอนดอน ได้รับความสนใจจากสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีญาติ เพื่อนสนิท อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. และเพื่อนต่างประเทศมาร่วมงานประมาณ 100 คน อดีตนายกฯทักษิณกล่าวว่า เป็นคืนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกในชีวิต เพราะได้อยู่กับลูกสาว ลูกเขย หลาน และเพื่อนที่ดี ผู้ร่วมธุรกิจ พี่น้อง แม้ปีหน้าไม่สามารถนำเลข 6 กลับมาได้อีก แม้จะ 70 แล้ว แต่ก็แค่ตัวเลข ความสุขมากที่สุดคือการอยู่บ้าน สุขภาพคือทุกอย่าง เงินไม่ใช่ทุกอย่าง
อดีตนายกฯทักษิณยังกล่าวถึงเรื่องการเมือง การรัฐประหารว่า ทำตัวไม่เป็นสุภาพบุรุษ “สวมกระโปรงลายพราง” มีความพยายามถ่วงการเลือกตั้ง ยิ่งอยู่นานเท่าไรประชาชนจะยิ่งไม่มีความสุข เพราะไม่เข้าใจหัวใจประชาชน แต่เราเข้าใจประชาชน นั่งอยู่ในหัวใจประชาชน รู้ว่าต้องการและหวังอะไร ตอนนี้ประชาชนเริ่มไม่มั่นใจในอนาคตตัวเอง เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มองหาพรรคการเมืองที่จะแก้ปัญหาให้ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคือสิ่งที่ตอบโจทย์สำหรับคนไทย และเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะอย่างถล่มทลายมากกว่าแลนด์สไลด์ด้วยซ้ำ
ขออังกฤษส่ง “ยิ่งลักษณ์” กลับมารับโทษในไทย
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือกองทัพจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ “สมคบคิด” กันล้มล้างรัฐบาลทักษิณและ “ตระกูลชินวัตร” แต่การใช้ทุกสรรพกำลังเพื่อไล่ล่าและเอาผิดอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ก็ย้อนแย้งกับสิ่งที่ปรากฏมากว่า 10 ปีที่ผ่านมาชัดเจน ล่าสุดสำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักรได้ส่งจดหมายลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ไปที่กระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร (Foreign and Commonwealth Office) เพื่อร้องขอต่อทางการของอังกฤษให้ส่งตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย โดยอ้างถึงสนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ว่าด้วยการส่งตัวอาชญากรผู้หลบหนีคดีกลับประเทศ จึงขอให้ส่งตัวอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยและเชื่อว่าพำนักอยู่ในสหราชอาณาจักรกลับไปรับโทษในประเทศไทย
จดหมายดังกล่าวเป็นการดำเนินการทางลับ จนกระทั่งบีบีซีไทยนำมาเผยแพร่ พล.อ.ประยุทธ์จึงยอมรับว่าเป็นความจริง แต่เป็นการทำตามขั้นตอนโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ที่ทางอังกฤษจะส่งให้หรือไม่ส่ง เพราะต่างก็มีกฎหมายของแต่ละประเทศ และไม่จำเป็นต้องหารือกับนางเทเรซ่า เมย์ นายกฯอังกฤษ
ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการติดตามตัวอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อสืบทราบโดยเชื่อว่าอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์อยู่ที่อังกฤษจึงทำหนังสือขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนตามกระบวนการ ทางอังกฤษจะตอบกลับอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนทางตำรวจก็ยืนยันว่าติดตามอย่างต่อเนื่องโดยตลอด
Life as usual ชีวิตดำเนินไปตามปรกติ
ด้านอดีตนายกฯทักษิณได้กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ทราบเรื่องกระบวนการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาตลอดตั้งแต่ในขั้นกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติจนถึงการออกจดหมายของสถานทูตไทย เป็นเรื่องที่เขาไม่ทำกันในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แม้ทางการไทยอธิบายว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเรื่องที่แก้เกี้ยวทางการทูต อังกฤษก็จะตอบว่าจะพิจารณาด้วยดี แต่สำหรับตน “Life as usual ชีวิตดำเนินไปตามปรกติ”
อดีตนายกฯทักษิณย้ำว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลไทยส่งคำขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนอดีตนายกรัฐมนตรีไทยมาที่รัฐบาลอังกฤษ สมัยรัฐบาลหลังการรัฐประหาร 2549 ก็ส่งคำขอมาเช่นกัน แต่จนถึงบัดนี้อดีตนายกฯทักษิณก็ยังเข้าออกอังกฤษได้ปรกติ “ก่อนหน้านี้เมื่อมาอังกฤษใหม่ๆก็เคยมีจดหมายมาเช่นนี้ แต่ไม่สนใจและไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมโดนจนชินชาแล้ว”
บ้าบอคอแตก
จากคำขอโทษของอดีต ส.ส. พรรคเก่าแก่ ที่กลับมาสนั่นเมืองเพราะ “นคร มาแฉ” พร้อมหนังม้วนเก่าที่ตามไล่ล่าอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์ จึงยิ่งตอกย้ำ “แผนสมคบคิด” ที่นำมาซึ่งวิกฤตการเมืองนั้นจริงหรือไม่ หรือเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซาก และจะยังอยู่บนผืนแผ่นดินไทยต่อไปตราบที่กลุ่มเผด็จการอนุรักษ์นิยมยังจมปลักกับอำนาจและผลประโยชน์ มุ่งแต่จะกำจัดฝ่ายที่เห็นต่างให้สิ้นซากอย่างถอนรากถอนโคน จนแล้วจนรอด ทั้งที่ทำรัฐประหารแล้วถึง 2 ครั้ง ออกกฎหมายสารพัดเพื่อไล่ล่าและเอาผิด แต่ทำไม “ผีทักษิณ” ก็ยังคงอยู่ และโผล่มาหลอกหลอนฝ่ายเผด็จการอนุรักษ์นิยมอยู่จนถึงวันนี้
พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวเปรียบเทียบการมี “อำนาจ” เหมือน “หัวโขน” ใส่เป็นตัวอะไรก็เล่นไปตามบทบาท พอถอดออกมาแล้วก็เหมือนกัน
ขณะเดียวกันก็ถากถางคนที่อยากจะเป็นใหญ่ อยากจะมีอำนาจว่า
“ไม่มีใครมีอำนาจใหญ่จริงๆ เป็นนายกฯก็ไม่ใช่ว่ามีอำนาจสูงสุด ไม่ว่าจะใคร เพราะสิ่งที่สูงกว่าตำแหน่งคือหน้าที่ความรับผิดชอบ จิตสำนึกและกฎหมายนั่นแหละเหนือนายกฯ
อย่าสอนให้คนอยากเป็นใหญ่เป็นโต แย่งกันอยู่ได้อำนาจกันบ้าบอคอแตก สร้างกันไปเรื่อย อำนาจจริงๆเป็นของประชาชน และสำคัญสุดคือความรับผิดชอบ อย่างวาดหัวโขนเป็นความรับผิดชอบของเราก็ต้องทำให้มันดี ให้เส้นมันสวย นั่นแหละเหนืออย่างอื่น ไม่ใช่สอนให้คนอยากจะมีแต่อำนาจ แย่งกันไปแย่งกันมา ถ้ามีอำนาจต้องทำงาน และทำให้ถูกให้ดีด้วย เข้าใจไหม”
คำพูดของ “ทั่นผู้นำ” จึงเป็นคำพูดที่ถูกต้องและน่าประทับใจที่สุดตั้งแต่ “ทั่นผู้นำ” ทำรัฐประหารมา
เพราะนอกจากจะไว้เตือนสติคนที่อยากเป็นใหญ่เป็นโต เอาแต่แย่งอำนาจกันแล้ว ยังเหมาะแก่การยืนพูดหน้ากระจกเงา เพื่อย้ำเตือนสติว่า “อำนาจ” นี่แหละ นอกจากทำให้หลงและมึนเมาแล้ว ยังส่งผลให้หลายคนที่กำลังสวมหัวโขนจากการที่ปล้น “อำนาจ” เขามา แต่เข้าใจตนเองผิดไป นึกว่าเสียงประชาชนส่วนใหญ่เลือกมา ลืมไปว่าที่แท้ก็เป็นแค่จำอวดหน้าม่านที่ “บ้าบอคอแตก” ขาดสติ จนแทบไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร!!??
You must be logged in to post a comment Login