วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อันตราย…ห่างไว้ 5 เมตร

On August 9, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก

ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข  ประจำวันที่วันที่ 10-17 สิงหาคม 2561)

“ผมอาจโน่นนี่ไปบ้างก็ขออภัยด้วยแล้วกัน”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เอ่ยปาก “ขออภัย” ที่อารมณ์บูดใส่ผู้สื่อข่าว ยอมรับอารมณ์เสียเพราะกังวลเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม ทำให้บางอารมณ์ก็รับคำถามไม่ได้ ขอร้องสื่อว่าบ้านเมืองยังมีเรื่องดีๆ

โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงความไม่พอใจ “เหวี่ยง” ใส่ผู้สื่อข่าวที่ถามกรณีคอลัมนิสต์สำนักข่าวเดอะ จาการ์ตา โพสต์ (The Jakarta Post) ของอินโดนีเซีย เขียนบทความ “Don’t let Thai junta chief chair ASEAN next year” ที่แปลว่า “อย่าให้ผู้นำเผด็จการไทยนั่งเก้าอี้ประธานอาเซียนในปีหน้า” ว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นเรื่องของคนบางคน สื่อบางสื่อ ต้องไปดูเจตนาว่าเขียนเพื่ออะไร แล้วจะเป็นเครื่องมือเขาทำไม คำถามแบบนี้ถามแล้วได้อะไรขึ้นมา ทั้งยังถามกลับอีกว่ามีคำถามอะไรที่จะสร้างความขัดแย้งให้อีกหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีกองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 งัดเอากฎปี 2558 ที่ให้ช่างภาพต้องโค้งคำนับก่อนและหลังการถ่ายภาพ รวมถึงให้มีระยะห่างอย่างน้อย 5 เมตร อย่างมีอารมณ์ว่า ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจ แต่เป็นเรื่องการให้เกียรติซึ่งกันและกัน จากนั้นก็เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที โดยหันมาตอบผู้สื่อข่าวที่ถามว่านายกฯเป็นอะไรว่า “เป็นอะไร? ก็เป็นฉันแบบนี้นี่แหละ”

แม้ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลไปพิจารณาทบทวนและถอนออกจากข้อปฏิบัติหลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่การอารมณ์บูดใส่ผู้สื่อข่าวประเด็นสื่อเพื่อนบ้านออกมาต่อต้าน ซึ่งมีผลต่อภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องปรกติกับอาการ “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” เพราะที่ผ่านมาถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ถูกใจหรือไม่พอใจคำถามของผู้สื่อข่าวก็แสดงอาการฉุนเฉียวไม่พอใจนับไม่ถ้วน

สื่ออินโดฯจัดหนัก “ทั่นผู้นำ”

นายคอร์นีเลียส ปูรบา นักวิชาการในฐานะคอลัมนิสต์สำนักข่าวเดอะ จาการ์ตา โพสต์ คือผู้เขียนบทความคัดค้าน พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานอาเซียนในปีหน้าหากยังไม่มีการเลือกตั้งและมีผู้นำจากการเลืกตั้ง ซึ่งประธานอาเซียนเป็นไปตามวาระที่เรียงตามตัวอักษรของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพในปีนี้ และถัดจากตัวอักษร S ก็คือ T ประเทศไทย ตามบทบัญญัติของกฎบัตรอาเซียน นายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ มีกำหนดการส่งต่อเก้าอี้ประธานอาเซียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

พล.อ.ประยุทธ์แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งกับบทความดังกล่าว ทั้งยังสะท้อนคำตอบที่บอกว่าในปีหน้ายังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นรัฐบาล เพราะการประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นก่อนเลือกตั้ง อย่ามากังวลอะไรกับตน ไม่ต้องมาต่อต้านตนในวันนี้ คนที่ต่อต้านก็เขียนกันไปเรื่อย

นายปูรบาระบุว่า การเปลี่ยนประธานอาเซียนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านทั่วไปอย่างที่ผ่านมา เพราะการเป็นประธานอาเซียนอาจเป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่สมควรได้รับตำแหน่งนี้ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้ ซึ่งมาเลเซียก็เพิ่งจัดการกับผู้นำที่คอร์รัปชัน เมียนมาก็กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย แม้นางอองซาน ซูจี มุขมนตรีแห่งรัฐของเมียนมา จะยังไม่มีอำนาจการบริหารประเทศอย่างเต็มที่ ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียอยู่ในหมวดหมู่ของประเทศที่มีประชาธิปไตยแล้ว แม้จะยังมีปัญหาภายในประเทศอยู่บ้าง

บทเรียนผู้นำทหารเมียนมา

ในช่วงที่เมียนมามีรัฐบาลทหารปี 2006 (พ.ศ. 2549) ซึ่ง พล.อ.อาวุโสตาน ฉ่วย เป็นผู้นำรัฐบาลเมียนมา ก็ไม่ได้เป็นประธานอาเซียนเช่นเดียวกัน แม้เมียนมาจะเข้าร่วมประชาคมอาเซียนตั้งแต่ปี 1997 แต่เพิ่งได้เป็นประธานอาเซียนในปี 2014 หรือประมาณ 3 ปีหลังจากนายเต็ง เส่ง ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีพลเรือนคนแรกของเมียนมาในรอบหลายทศวรรษ ตำแหน่งประธานอาเซียนจึงเป็นรางวัลให้แก่เมียนมาที่มีความก้าวหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย

นายปูรบากล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาอาเซียนจะยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของแต่ละประเทศ แต่อาเซียนจะต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าประชาคมโลกโดยไม่จำเป็นเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นมาเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า พร้อมอธิบายว่า พล.อ.ประยุทธ์โค่นล้มรัฐบาลของ .ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างว่าเข้ามาเพื่อปราบปรามคอร์รัปชันและการใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับให้ความสำคัญกับการปราบปรามแกนนำฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร ไม่ต่างจากครั้งผู้นำเผด็จการซูฮาร์โตของอินโดนีเซียที่ปราบปรามสื่อ ชี้นำฝ่ายนิติบัญญัติ หรือกดขี่เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม

นอกจากนี้ไทยยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมอาเซียนร่วมกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1967 โดยไทยมีตำแหน่งและบทบาทสำคัญในอาเซียนมาโดยตลอด และเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่เคยสัมผัสกับความขมขื่นในการตกเป็นอาณานิคม

นายปูรบายังมองว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอาเซียนที่จะประชุมที่สิงคโปร์ถือเป็นโอกาสดีที่นายเรตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอินโดนีเซีย จะยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือกับเพื่อนสมาชิกอาเซียน ทั้งยังเรียกร้องให้นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ใช้ยุทธศาสตร์การทูตแบบปิดเงียบในการหารือกับผู้นำไทยโดยที่ยังเคารพหลักการของอาเซียน เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ไทยมีการเลือกตั้งทั่วไปมา 25 ครั้ง รัฐประหาร 19 ครั้ง และมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 20 ครั้ง ดังนั้น การคัดค้านไม่ให้ไทยเป็นประธานอาเซียนจึงไม่ใช่การลงโทษประชาชนคนไทย แต่เป็นการลงโทษรัฐบาลทหาร และไทยควรกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ซึ่งไทยยังสมควรได้รับสิทธิในการนั่งเก้าอี้ประธานอาเซียน แต่ไม่ใช่ภายใต้รัฐบาลทหาร

โลกยุค 4.0 ไม่ใช่โลกเผด็จการ

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกว่ากรณีประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนเป็นเรื่องของประเทศไทยและคนไทยทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประชาคมโลกต่างก็ไม่ยอมรับการรัฐประหารเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะการเขียนบทความคัดค้านผู้นำไทยเป็นประธานอาเซียนครั้งนี้เท่านั้น ซึ่งเหตุผลก็ระบุชัดเจนว่าจะเป็นการลดศักดิ์ศรีประชาคมอาเซียนบนเวทีโลก คือประชาคมโลกต่างก็ไม่ยอมรับระบอบเผด็จการนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม

บทความในเดอะ จาการ์ตา โพสต์ ไม่ได้ต่อต้านประเทศไทย แต่ต่อต้านผู้นำไทยที่มาจากการรัฐประหาร โดยเฉพาะโลกยุค 4.0 ที่ข้อมูลข่าวสารเชื่อมโยงไปทั่วโลก เรื่องสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม

การให้โลกยอมรับประเทศไทยซึ่งหมายถึงศักดิ์ศรีของคนไทยทั้งประเทศด้วย รัฐบาลทหารก็ต้องทำตามสัญญาคือ นำประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ยังจมปลักอยู่กับวงจรอุบาทว์ที่อ้างสารพัดเหตุผลในการทำรัฐประหาร หรือจมปลักกับ “ผีทักษิณ”

ดังนั้น แทนที่ “ทั่นผู้นำ” จะมัวแต่อ้างว่าตำแหน่งประธานอาเซียนเป็นเรื่องของประเทศไทยและคนไทยทุกคน เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของประเทศจึงเป็นศักดิ์ศรีของประชาชน แต่ความจริงก็คือ ประเทศไทยจะปฏิเสธกระแสโลกและกระแสประชาธิปไตยไม่ได้

บทความในสื่อดังอย่างเดอะ จาการ์ตา โพสต์ เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนตระหนักถึงความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีของประชาคมอาเซียน เพราะประธานอาเซียนต้องมีความสง่างามและได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก จึงส่งผลสะเทือนผู้นำที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สื่ออินโดฯถูก “ทักษิณ” ซื้ออีกแล้ว!!

นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสื่ออินโดนีเซียที่คัดค้าน พล.อ.ประยุทธ์ว่า “ระบอบทักษิณ” ใช้ต่างชาติล้อมไทยเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ ทำลายประเทศ ที่ทำมาหลายครั้งตั้งแต่ใช้ทนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มาโจมตีรัฐบาลไทยยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากนั้นนักข่าวจากสำนักข่าวประเทศอังกฤษบิดเบือนข่าว เวลาต่อมาใช้บุคลากรในสื่อสหรัฐออกมาตั้งคำถามต่อนโยบายรัฐบาลไทย และปี 2018 ใช้สื่อจากอินโดนีเซียต่อต้านผู้นำไทยเป็นประธานอาเซียน

นายจุติยังกล่าวว่า ศักดิ์ศรีประเทศไทยต้องสง่างามในสายตาชาวโลก อยากขอร้องว่าจะเกลียดใครขนาดไหน แต่อย่าทำร้ายประเทศไทยเลย คนเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ แต่ปล่อยให้คนมาชี้ด่าประเทศตนเองนั้นสมควรหรือไม่ และคนไทยเราเคยฉุกคิดกันบ้างหรือไม่ว่าทำไมเรื่องพวกนี้จึงเงียบในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งที่นโยบายประเทศไทยเหมือนกัน ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศอย่าเสียสมาธิกับเรื่องเลวร้ายที่คนเจตนาทำลายชาติ แต่จงเตรียมตัวให้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนอย่างสง่างามที่สุด

คำพูดของนายจุติยิ่งทำให้อดีตนายกฯทักษิณเป็นผู้มีอำนาจและบารมีมากกว่าผู้นำไทยคนอื่นๆ เพราะสามารถทำให้สื่อในประเทศต่างๆออกมาต่อต้านรัฐบาลทหาร และหากมองอีกมุมก็เหมือนการดูถูกสื่อต่างชาติว่าขายตัว ไม่มีจรรยาบรรณ ถูก “ทักษิณ” ซื้อไปแล้วนั่นเอง

เช่นเดียวกับมุมมองของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มโนไปไกลว่า มีข่าวว่าบทความนี้ไม่ใช่นายปูรบาเจ้าของคอลัมน์เขียน แต่เป็นการไปขอใช้ชื่อ มีการจ้างวานใครมาเขียนหรือไม่ ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมและยังไม่ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเรื่องนี้ต่างประเทศไม่ได้สนใจ แต่กลับรอคอยวันที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนอีกด้วย

นายสุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์ นักเขียน นักวิชาการ ที่รู้จักกันดีในนาม “นักปรัชญาชายขอบ” ได้โพสต์สรุปสั้นๆไว้อย่างน่าคิดว่า “สื่อวิจารณ์ทักษิณไม่มีใครซื้อได้ แต่สื่อต่างชาติทุกสื่อที่วิจารณ์รัฐบาล ปชป., รัฐบาล คสช. ล้วนแต่ถูกทักษิณซื้อ หลอนเหลือเชื่อจริงๆ”

ฮาได้ทั้งน้ำตากับไอเดียบรรเจิด

รัฐบาลจากการรัฐประหารเป็นรัฐบาลของ “เผด็จการ” ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน แม้พยายามจะใกล้ชิดกับประชาชนอย่างไรก็ไม่เหมือนรัฐบาลที่มาจากประชาชน เพราะรัฐบาลเผด็จการต้องการเพียงสร้างกลไกต่างๆเพื่อให้มีอำนาจให้นานที่สุด ดังจะเห็นได้จากการที่ “ทั่นผู้นำ” จะเดินทางไปที่ใดก็ต้องมีบริวารคอยคุ้มกันนับร้อย แม้แต่การพบปะกับประชาชนก็ต้องไม่ให้มีคนกลุ่มใดออกมาแสดงความเห็นต่างหรือเรียกร้องใดๆ ยิ่งชัดเจนว่ายิ่งเข้าใกล้ก็เหมือนจะยิ่งห่างจากประชาชน

อาการคุ้มดีคุ้มร้ายส่งผลให้เกิดอาการวิตกจริตจากหน่วยงานความมั่นคงที่ต้องออกมาตรการควบคุมช่างภาพให้ต้องอยู่ห่างจาก “ทั่นผู้นำ” อย่างน้อย 5 เมตร และต้องโค้งคำนับทั้งก่อนและหลังการถ่ายภาพ

แม้ “ทั่นผู้นำ” บอกว่าเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ก็มีคำถามว่าหากเป็นเกียรติที่เกิดจากการบังคับก็เหมือนการรัฐประหารก็เป็นแค่เกียรติแบบ “หน้าไหว้หลังหลอก” เพราะผู้ที่จะได้รับความเคารพต้องเกิดจากความจริงใจในเกียรติที่ให้ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การบังคับ

เฉกเช่นการสร้างความสามัคคีปรองดองของรัฐบาลทหาร ผ่านมาเกือบ 5 ปี แต่กลับล้มเหลวสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่บ้านเมืองสงบ แต่เศรษฐกิจก็สงบเงียบงันไปด้วยเช่นกัน เพราะอำนาจจากปลายกระบอกปืนไม่สามารถสร้างความปรองดองที่แท้จริงได้ วันหนึ่งที่อัดอั้นจนทนไม่ไหว ความอดทนถึงที่สุดก็อาจล้นทะลักได้

วิกฤตบ้านเมืองจึงไม่ต่างกับน้ำที่ทะลักล้นเขื่อนขณะนี้ เหมือนผลงานของรัฐบาลที่ล่าสุด “กรุงเทพโพลล์” ระบุว่าประชาชนให้คะแนนลดลงทุกด้าน แต่ “ทั่นผู้นำ” กลับยืนยันว่ามีผลงานมากมาย 3 ปีแก้ปัญหาร้องทุกข์ให้ประชาชนสำเร็จกว่า 3 ล้านเรื่อง

ไม่ว่าจะน้ำท่วม น้ำแล้ง พืชผลการเกษตรตกต่ำ “ทั่นผู้นำ” ก็มาพร้อมไอเดียบรรเจิดช่วยปลดทุกข์ชาวบ้านให้ฮือฮา อย่างวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ก็แนะให้ชาวบ้านทำอาชีพเสริม ทำนาไม่ได้ก็ทำประมงเพราะมีปลาเยอะแยะ รัฐบาลเตรียมห้องเย็นเก็บปลาไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว เป็นการคืนความสุขให้ประชาชนไทย ฮาได้ทั้งน้ำตา เช่นเดียวกับที่ “ทั่นผู้นำ” ให้ปลูกหมามุ่ยแทนข้าวที่ราคาตกต่ำ หรือให้ไปขายยางพารากิโลฯละร้อยที่ดาวอังคาร ฯลฯ มาแล้ว

ห่างไว้ 5 เมตรเพื่อความปลอดภัย

สถานการณ์การเมืองไทยภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการที่เรียกตนเองว่าประชาธิปไตย 99.99% ได้เตรียมแต่งตัวแปลงกายใส่เสื้อลงเลือกตั้งตามกติกาที่ออกแบบมาเพื่อให้ฝ่ายตนได้เปรียบทุกประตูกำลังเฟื่องฟูสุดๆ

กลุ่มการเมืองที่ออกมาเปิดหน้าเปิดตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้สืบทอด “ระบอบ คสช.” ต่ออย่างชัดเจนแล้วก็คือ กลุ่มเนวินบุรีรัมย์คอนเนกชั่น กลุ่มสามมิตร และล่าสุด “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เปิดตัวเป็นว่าที่หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พรรคการเมืองภายใต้การสนับสนุนสุดแรงจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ก็ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แม้มีเงื่อนไขให้สวยหล่อขึ้นมานิดว่าต้องมาจากบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีชื่อในบัญชีรายชื่อพรรค รปช. ทั้งนี้ เพื่อความสง่างาม และไม่ต้องอธิบายกับประชาชนให้มากกว่าจะมาในฐานะ “นายกฯคนนอก” ก็ตาม

มาจนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่มีท่าทีปฏิเสธพรรคการเมือง นักการเมือง และกลุ่มเชลียร์ต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเหล่านี้ การไม่ปฏิเสธจึงอาจเป็นคำตอบว่าพร้อมจะสวมหัวโขน “บ้าบอคอแตก” ต่อไป

การเมืองไทยในระบอบพิสดารยุคคนดี 4.0 จึงมีสัตว์ดึกดำบรรพ์โผล่ออกมาเรื่อยๆ เหมือนกลับไปสู่ยุค “ไดโนเสาร์เต่าล้านปี” อย่างไม่ผิดเพี้ยน

เพื่อป้องกันอันตรายจากอาการ “บ้าบอคอแตก” ..เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จึงขอเตือนคนไทยว่าควรอยู่ห่างไว้อย่างน้อย 5 เมตร ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของ “ทั่นผู้นำ” แต่เป็นความปลอดภัยของสื่อเทศสื่อไทยให้พ้นจากการถูกขว้างเปลือกกล้วยหรือถูกทุ่มด้วยโพเดียมนั่นเอง!!

..ว่าแล้วก็ทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง เอ้า..

คำนับครั้งที่หนึ่ง.. คำนับครั้งที่สอง.. คำนับครั้งที่สาม..

เจ้าภาพขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน และขออภัยหากดูแลไม่ทั่วถึง ขอเชิญแขกทุกท่านทานกระเพาะปลาก่อนกลับด้วยนะคร้าบ!!??


You must be logged in to post a comment Login