- เรื่องยังไม่จบPosted 22 hours ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
- บทเรียนพระสายมูPosted 2 weeks ago
ปราโมทย์ หิรัญจารุวงศ์ มีความสุข สนุกกับงาน
จากครั้งเยาว์วัยที่อยากจะเดินตามรอยคุณพ่อกับอาชีพนักธุรกิจ แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา ความฝันเปลี่ยนเป็นความจริง อยากทำงานที่มีความสุข เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ถึงวันนี้ คุณปราโมทย์ หิรัญจารุวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร โรงพยาบาลเจ้าพระยา ยืนยันว่า มีความสุข สนุกกับงานอยู่ตลอดเวลา
ช่วงประถม-มัธยมปลาย คุณปราโมทย์ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ก่อนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาบริหารอุตสาหกรรม (เกียรตินิยมอันดับ 2) โดยใช้เวลาเรียน 3 ปีครึ่ง และจบปริญญาโทที่ NIDA (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) ในคณะบริหารธุรกิจ (MBA) ในยุคนั้นการสอบเข้าในระดับปริญญาโทยากมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยรัฐเปิดสอนอยู่แค่ 3-4 แห่ง และเปิดสอบปีละครั้ง รับรุ่นละ 60 คน
คุณปราโมทย์เล่าให้เราฟังว่า คุณพ่อเป็นนักธุรกิจ ทำธุรกิจส่วนตัวขายรถยนต์ ตอนเด็กๆผมอยากจะเดินตามรอยพ่อเหมือนกับหลายๆคน พอโตจริงๆไม่อยากเป็นนักธุรกิจ คิดว่าอยากทำงานแล้วมีความสุข เลี้ยงตัวเองได้เท่านั้นเอง
จากการที่ผมจบ Industrial Management จึงเริ่มทำงานที่แรกกับบริษัทรองเท้าบาจาแห่งประเทศไทย ทำให้รู้ว่าบาจาไม่ใช่ของคนไทย แต่เจ้าของดั้งเดิมเป็นของสาธารณรัฐเช็ก ข้อดีอย่างหนึ่งของการเข้าทำงานที่บาจาก็คือ คู่มือการทำงานทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ทำงานเหมือนบาจาในต่างประเทศเลย ใน 3 เดือนแรก ไม่ต้องทำงาน อ่านคู่มือการทำงานอย่างเดียว แล้วเข้าไปดูของจริงในโรงงาน งานที่ผมทำคือการทำ Motion and time study คือทำอย่างไรให้เราผลิตรองเท้าหนึ่งคู่โดยใช้เวลาที่น้อยที่สุด, เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด, ใช้วัตถุดิบให้น้อยที่สุด, การคิด Flow ของงานควรจะเป็นอย่างไร ทำอยู่เกือบ 2 ปี รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับงานโรงงาน ทั้งที่จริงๆช่วงที่ทำงานอยู่ก็ถือว่ารุ่ง การที่อยู่ที่บาจา ผมโชคดีที่ผมมีโอกาสเรียนรู้ทั้งการผลิตรองเท้าผ้าใบและรองเท้าหนัง เพราะบาจาในสมัยนั้นมีโรงงาน 2 แห่งที่ผลิตรองเท้าต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่แต่ละคนจะได้อยู่โรงใดโรงหนึ่ง แต่ผมโชคดีได้อยู่ทั้ง 2 โรงงาน
จากที่เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น อัธยาศัยดี ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้โอกาสการเปลี่ยนแปลงมาถึงคุณปราโมทย์อีกครั้ง หลังจากนั้นผมย้ายไปอยู่ Natural Park PCL (N- Park) บริษัทพัฒนาที่ดินชั้นนำในขณะนั้น รับผิดชอบงานในฐานะ Senior Research and Planning Officer โดยหน้าที่หลักคือทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) อยู่ได้ประมาณ 2 ปีครึ่งก็ถูกชักชวนให้มาทำงานที่โลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (ปัจจุบันคือ Tesco Lotus) เข้าทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Business Development) โดยดูการเปิดสาขาในภาคใต้และกรุงเทพฯบางส่วน ตอนนั้นอายุยังน้อยประมาณ 26 ปี ก็ถือว่าเติบโตเร็ว ช่วงที่ทำงานโลตัสคือช่วงที่เรียนปริญญาโทไปด้วย
จับพลัดจับผลู ชีวิตพลิกผันเข้าสู่วงการธุรกิจโรงพยาบาล
และก็เป็นจังหวะของชีวิต ตอนนั้นมีโรงพยาบาลไปเปิดใหม่แถวพัฒนาการ เป็นโรงพยาบาลในเครือวิภาวดี ตอนนั้นตั้งชื่อว่าโรงพยาบาลวิภาวดี อิเคดะ (มีโรงพยาบาลในญี่ปุ่นมาร่วมทุนด้วย) สิ่งแรกที่ทำที่โรงพยาบาลวิภาวดี อิเคดะ คือการเสนอเปลี่ยนชื่อโรงพยาบาล เนื่องจากภาพที่ออกมามีชื่อญี่ปุ่น ทำให้ดูแพง จึงเสนอขอเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลวิภาวดี 2 (พัฒนาการ) ก่อนที่จะมาเป็นวิภารามในปัจจุบัน ตลอด 5 ปีที่อยู่ที่นั่น ก็ช่วยให้โรงพยาบาลมีรายได้จากหลัก 40 ล้านบาทในปีแรก เป็น 260 ล้านบาทในปีที่ 5 ก่อนจะออกมาอยู่ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยา
คุณปราโมทย์ยอมรับว่า การเข้ามาอยู่ในธุรกิจโรงพยาบาลก็เพราะความบังเอิญ แต่การได้ทำงานที่หลากหลายคือ ทำให้ชีวิตผมมีความรู้กว้างขึ้น สิ่งที่น่าภูมิใจตลอด 14 ปีที่ผ่านมาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาคือ สามารถผลักดันยอดขายของโรงพยาบาลจาก 300 ล้านบาท เป็น 1,300 ล้านบาทได้ในปีล่าสุด และมีกำไรโตต่อเนื่องทุกปี
มีความสุขกับงาน กล้าที่จะเปลี่ยน
สำหรับผมแล้ว ผมต้องการทำงานที่สนุก ไม่เน้นรายได้มากนัก อย่างเช่นธุรกิจโรงพยาบาล รายได้จะน้อยกว่าผู้บริหารในธุรกิจอื่น แต่สำหรับผม ความสุขที่เราได้ต่างกัน เนื่องจากว่าผมได้พบกับเจ้านายที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดี และลูกน้องที่ดี และเจ้านายเปิดโอกาสให้ผมทำงานเต็มที่
โรงพยาบาลเจ้าพระยา เราเน้นเรื่องของ Differentiate เน้นกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง นั่นจึงเป็นที่มาของศูนย์แพทย์เฉพาะทางเที่ยงคืน เป็นจุดที่ทุกคนเริ่มรู้จักโรงพยาบาลเจ้าพระยามากขึ้น
หลักการบริหารทีมงานยึดหลักง่ายๆ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” เราดูจากตอนเราเด็กๆ อะไรที่รุ่นพี่ทำ แล้วเราไม่ชอบ พอเราเติบโตในหน้าที่การงาน เราก็ไม่ทำในสิ่งที่เราเคยไม่ชอบ หลักของผมง่ายๆ แค่นี้จริงๆ
ผมคิดว่ามนุษย์เราจำกัดความคำว่าประสบความสำเร็จไม่เหมือนกัน คำว่าประสบความสำเร็จของผมก็คือ การมีชีวิตที่มีความสุข มีเวลาส่วนตัว ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง ทั้งการทานอาหารอร่อยๆ ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ก็พอเพียงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเงินเดือนสูงมากจนไม่มีเวลาส่วนตัวหรือสูญเสียตัวตน
ผมอยากฝากให้พวกเรากล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ … กล้าที่จะเปลี่ยนครับ แล้วจะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าเราตั้งใจจริง ผมผ่านมาทั้งผลิตรองเท้า, พัฒนาที่ดิน, ค้าปลีก และโรงพยาบาล เรียกว่าไม่ซ้ำกันเลย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับในทุกๆงาน
You must be logged in to post a comment Login