วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

โอม..เพี้ยง!! (เชิญรับยาที่ช่อง 21)

On August 16, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข  ประจำวันที่วันที่ 17-24 สิงหาคม 2561)

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือนกันยาฯก็ไม่ต้องถาม ถ้าถึงก็รู้เอง ผมไม่เคยลืมพูดอะไร ซึ่งผมบอกแล้วยังไม่รู้ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ จะอยู่อย่างไร ต้องไปดูกฎหมายรัฐธรรมนูญ การจะอยู่ต้องดูว่าอยู่เพื่ออะไร ทำอะไร จำเป็นหรือไม่ แล้วจะไปอยู่พรรคไหนก็อีกเรื่อง จะไปอยู่ได้อย่างไร ข้อสำคัญจะไปอยู่พรรคไหนก็ตาม ถ้าประชาชนไม่เลือกพรรคนั้นแล้วจะมาได้อย่างไร ตอนนี้ยังไม่รู้พรรคไหน จะเอาคำตอบให้ได้หรือ”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองที่จะให้คำตอบในเดือนกันยายนนี้ว่า การตัดสินใจก็มีหลักเกณฑ์ เดือนกันยายนจะพูดเอง แต่วันไหนยังไม่รู้ ตอนนี้เอาเรื่องแก้ปัญหาบ้านเมืองก่อน ทุกอย่างมันต้องปลดล็อกต่างๆอยู่แล้ว

ส่วนเวลาลงพื้นที่แล้วมีเสียงเชียร์ให้เป็นนายกฯต่อนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เดี๋ยวสื่อก็บอกฟุ้ง โอ่ ปลื้ม ตนบอกทุกครั้งเวลาเห็นชาวบ้านดีใจ สะท้อนว่าทำไมเขาต้องคาดหวังที่ตน ทำไมไม่คาดหวังกับคนอื่น

ไม่หยุดสู้ก็ยังไม่แพ้

อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดเรื่องการเมืองไทยและโยงถึงพรรคเพื่อไทยว่าจะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา อดีตนายกฯทักษิณกล่าวระหว่างพบกลุ่มผู้สนับสนุนที่ฮ่องกงตอนหนึ่งว่า

“ผมบอกทุกคนว่าถ้าเราไม่ยอมแพ้ คำว่าแพ้มันมีได้ 2 กรณีคือ กรณีที่เราตาย หรือกรณีที่เรายอมไปเอง ถ้าเรายังสู้อยู่นี่ถือว่าไม่มีปัญหา นั่นก็คือมีแต่ Battle (การต่อสู้) ไม่มี War (สงคราม) War มันจะ End (จบ) ต่อเมื่อทุกอย่างมันจบ แต่ว่าสู้กันกี่ยกๆนั้นคือ Battle เพราะฉะนั้นแม้ว่าเราจะมี Sub Battle แต่ว่า War ยังไม่ End เพราะฉะนั้นเราต้องทำต่อไป War ที่สำคัญคือ War เรื่องประชาธิปไตย”

คำพูดของอดีตนายกฯทักษิณหมิ่นเหม่จนอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสนอให้มีการยุบพรรคเพื่อไทย จะเห็นได้จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวว่าขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบว่ามีความผิดตามกฎหมายอะไรหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ตนเคยเตือนไปแล้วไม่ใช่หรือ ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณากันต่อไป เราก็ต้องทำทุกอย่างให้ครบตามขั้นตอนและกระบวนการ อย่างครั้งที่แล้วก็ได้มีการดำเนินการไปแล้ว แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลไปไล่ล่า ถ้าทุกคนอยู่กันแบบสงบเงียบเรียบร้อยก็ไม่มีปัญหาที่ต้องไปทำอะไรกันต่อ เพราะต่างก็มีคดีกันอยู่ทั้งสิ้น

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงอดีตนายกฯทักษิณว่า เคยเตือนไปหลายครั้งแล้วว่าให้คิดถึงประเทศ “ก็จะไปทำอย่างไรได้ สื่อช่วยเตือนหน่อยสิ …ตอนนี้ท่านไม่ฟังแล้วรุ่นพี่รุ่นน้อง”

“เสก โลโซ” ไลฟ์สดอัด “ทักษิณ”

“เสก โลโซ” หรือเสกสรรค์ ศุขพิมาย ร็อกเกอร์วัย 44 ปี ร็อกเกอร์ชื่อดังที่หลายคนมองว่าเอนเอียงใจช่วยคนเสื้อแดง เคยโพสต์ภาพสนิทสนมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้แต่เคยแสดงออกว่าชื่นชมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกมาไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊คกระหน่ำใส่อดีตนายกฯทักษิณและนายพานทองแท้ ชินวัตร 3 วันติดต่อกัน โดยระบุว่า อดีตนายกฯทักษิณหักหลังตนและคิดจะครอบครองประเทศไทย อยากเป็นประธานาธิบดี สเต็ปต่อไปคือการเลือกตั้ง เดี๋ยวก็ออกมาเดินขบวนกันอีก ที่พูดเพราะห่วงใยประชาชน ตนไม่ได้อยากเอาชนะทักษิณ แต่อยากให้ประเทศชาติชนะมากกว่า ไม่อยากให้แฟนเพลงโลโซมาตีกันตายเพราะการเมือง พร้อมย้ำว่าอดีตนายกฯทักษิณไม่ได้มีอำนาจอะไรมากกว่าตนแน่นอน

หลังไลฟ์สดของ “เสก โลโซ” ชาวโซเชียลส่วนใหญ่ได้วิพากษ์วิจารณ์ “เสก โลโซ” ในเชิงตั้งข้อสงสัยและประหลาดใจว่ายังหลอนยาหรือเมาไม่หายหรือไม่ ทำให้เจ้าตัวต้องยืนกรานต่อหน้าไลฟ์สดว่าจะตรวจฉี่ให้ดูอีกรอบหนึ่ง

“โอ๊ค พานทองแท้” ได้โพสต์ถึง “เสก โลโซ” ผ่านข้อความในอินสตาแกรมว่า “เราและนาย” ซึ่งเป็นชื่อเพลงของวงโลโซ และระบุว่า “จากวานนี้ จะมีเรา เราละหน่ายยยย…จดจำไว้ ตัลหลอดปาย ม่ายยย…ทิ้งกัลลล ให้กำลังใจนะเพื่อน #หายไวๆนะ #กูเข้าใจเมิง #ไหวป่ะแก #ไม่ไหวบอกไหว”

ขณะที่กานต์ วิภากร อดีตภรรยาร็อกเกอร์ชื่อดัง “เสก โลโซ” ได้ออกมาโพสต์ (16 ส.ค.) ผ่านเฟซบุ๊คถึงกรณีที่อดีตสามีออกมาไลฟ์สดติดต่อกัน โดยมีบางข้อความที่อยากวอนให้สังคมเข้าใจเสกดังนี้

“…จากการวิเคราะห์ของเราเอง ตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนของเขา มันเป็นแค่โรคทางจิต ไบโพลาร์, ซึมเศร้า, โรคหลงตัวเอง …แต่สามารถรักษาได้โดยการพบจิตแพทย์ตามนัดและรับยา กินยาตลอดชีวิต หมอจะค่อยๆปรับยาตามอาการ…

…อย่ามองเขาเป็นตัวตลกในโซเชียลเลย มันแรงไป สงสารลูกๆ …คนป่วยต้องได้รับการรักษา และพวกที่เมนต์ให้ยิงตัวตายโชว์ไลฟ์ …คิดได้ไง คนป่วยนะ ไม่รู้ตัวหรอก และเอฟเฟกต์ของโรคนี้คือ มีเปอร์เซ็นต์ในการฆ่าตัวตายค่อนข้างสูง …ขอความเห็นใจด้วยค่ะ เพื่อลูกๆกานต์จะได้ไม่เสียใจ”

“สุริยะใส” เบี่ยงประเด็น จะเอา “ทักษิณ” หรือ “ปฏิรูปประเทศ”

นายสุริยะใส กตะศิลา ซึ่งปัจจุบันเป็นรองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า นอกเหนือจากการชิงไหวชิงพริบของพรรคเก่าและพรรคใหม่ การดูด ส.ส. การจัดขั้วจัดข้างแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ การช่วงชิงการกำหนดวาระการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นจุดชี้ขาดของผลการเลือกตั้งที่เป็นการตีคู่ขนาน 2 กระแส 2 วาระคือ กระแสที่หนึ่งเป็นกระแสต่อเนื่อง คือการปฏิรูปประเทศ ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่าการปฏิรูปประเทศน่าจะเป็นกระแสใหญ่ในการเลือกตั้งที่จะถึง ทำให้พรรคการเมืองหน้าใหม่รวมทั้งพรรคการเมืองเดิมหลายพรรคเริ่มส่งสัญญาณชูและพูดเรื่องการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่

อีกด้านหนึ่งก็มีความพยายามจะชูวาระ “เอาทักษิณ” หรือ “เอาทหาร” ขึ้นมาตีคู่ขนาน ซึ่งมีหลายพรรคที่พยายามจะผลักดันให้เป็นวาระชี้ขาดในการเลือกตั้งที่จะถึง ซึ่งถ้าทบทวนการเลือกตั้งทั่วไปปี 2550 และ 2554 หรือการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็จะพบว่าอยู่ในวาระเอาทักษิณหรือไม่เอาทักษิณ ประเด็น “ทักษิณ” จึงกลายเป็นประเด็นชี้ขาดการเลือกตั้งตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พฤษาภาคม 2557 ส่วนขณะนี้ “วาระทักษิณ” เริ่มกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งหลังประกาศทำสงครามประชาธิปไตย ทำให้การเลือกตั้งที่จะถึงอาจไม่ต่างไปจากการเลือกตั้งทั่วไป 2-3 ครั้งที่ผ่านมา คือทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเดิมพันระหว่างเอาหรือไม่เอา “ทักษิณ” อีกครั้ง

นายสุริยะใสยังกล่าวว่า การเลือกตั้งที่จะถึงอาจไม่ตอบโจทย์การเมืองที่ล้มเหลว และไม่สามารถก้าวออกจากหลุมดำความขัดแย้งแตกแยก จึงเป็นหน้าที่และโจทย์ของพรรคการเมือง รวมทั้งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำให้การเลือกตั้งฝ่าข้ามกระแสทักษิณไปสู่กระแสการปฏิรูปประเทศที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการกอบกู้วิกฤตบ้านเมืองอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้

“สามมิตร” ท้า “เพื่อไทย” แข่งนโยบาย

นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขาธิการกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงอดีตนายกฯทักษิณที่ว่ากลุ่มสามมิตรเคลื่อนไหวบนผลประโยชน์และใช้เงินดูดอดีต ส.ส. ว่า อย่าตื่นเต้นกับคำว่าสามมิตร ถ้ามั่นใจว่าพรรคของท่านยังถูกใจพี่น้องประชาชนและจะมีอดีต ส.ส. ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย 200-300 คน ก็อย่าซีเรียส ถ้าคิดว่าพรรคเพื่อไทยดีจะเอาใครลงก็ได้เป็น ส.ส. อยู่แล้ว

“กลุ่มสามมิตรไม่เคยใช้เงินไปดูดใคร เราจะดูดเอาเฉพาะแนวคิดที่ดีมาช่วยกันสร้างสรรค์ทำประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น มาถึงวันนี้กลุ่มสามมิตรขอประกาศสงครามกับพรรคเพื่อไทยว่าให้มาแข่งความดีกันด้วยนโยบายว่าใครจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากกว่ากัน”

นายภิรมย์กล่าวว่า วันนี้กลุ่มสามมิตรไม่ใช่มีแค่ 200 คน แต่มีหลายล้านคนแล้ว คือพี่น้องประชาชนที่ชอบแนวทางของกลุ่มสามมิตร อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนกลุ่มอาชีพต่างๆที่ได้ฟังหรือเห็นการทำงานของกลุ่มสามมิตรที่ต้องการทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

ขณะที่สวนดุสิตโพลชี้ปัจจัยสำคัญที่ประชาชนใช้ตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปคือ 1.ความซื่อสัตย์ 27.95% 2.ความรู้ความสามารถ 25.16% 3.ประวัติส่วนตัว 16.17% 4.พื้นฐานการศึกษา 15.86% และ 5.ประสบการณ์ทางการเมือง 14.86%

ประชาชนอยากได้ผู้สมัคร ส.ส. มาจากอาชีพอะไรมากที่สุด 1.ข้าราชการ 29.06% 2.นักธุรกิจ 25.42% 3.นักกฎหมาย 22.03% 4.นักวิชาการ 15.98% และ 5.ทหาร 7.51% ส่วนการศึกษา 1.เศรษฐศาสตร์ 41.22% 2.รัฐศาสตร์ 22.01% 3.บริหารธุรกิจ 14.75% 4.กฎหมาย 14.53% และ 5.รัฐประศาสนศาสตร์ 7.49%

เชียร์ “พล.อ.ประยุทธ์” นั่งนายกฯต่อ

การออกตัวอย่างแรงมาตั้งแต่เริ่มต้นว่ากลุ่มสามมิตรเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ให้กลับมานั่งนายกฯต่อไปหลังเลือกตั้ง จึงไม่แปลกที่ “กลุ่มสามมิตร” ท้าเอานโยบายมาแข่ง เพราะนโยบายกลุ่มสามมิตรก็คือนโยบายและผลงานของรัฐบาลทหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง เพราะ “กลุ่มสามมิตร” ไม่มีผลงานอะไรนอกจากการเดินสาย “ดูด” และประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ยืนยันว่ามีผลงานมากมาย ไม่เช่นนั้นประชาชนก็คงไม่คาดหวังมาที่ตน

แม้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดชัดเจนถึงอนาคตทางการเมืองและการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังการเลือกตั้ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ย้ำมาตลอดว่าอยู่ที่ประชาชน จึงไม่แปลกที่การเดินสายประชุม ครม.สัญจรทุกพื้นที่จะมีประชาชนส่งเสียงเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะจัดตั้งหรือเกณฑ์มาก็ตาม จนอาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เชื่อจริงๆว่าประชาชนต้องการให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ

ชูผลงานหรือหาเสียงล่วงหน้า?

ขณะที่การทำงาน 4 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลเกือบทุกโพลก็ระบุว่าล้มเหลวสิ้นเชิงในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และไม่ทำตามสัญญาเรื่องการเลือกตั้ง แม้จะทำให้บ้านเมืองเงียบสงบแต่ก็ไม่ใช่สามัคคีปรองดอง โดยเฉพาะ “การปฏิรูปประเทศ” และ “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ไม่มีใครเชื่อว่าจะทำให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ขณะที่ประชาชนและประเทศต้องติดอยู่ในถ้ำนานถึง 20 ปี

เห็นได้ว่าการประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลหนักหน่วงและเข้มข้นขึ้นทุกช่องทางที่ทำได้ ทุกพรีเซ็นเตอร์ที่ดึงดูดได้รัฐบาลใช้หมด นอกจากรายการทุกคืนวันศุกร์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันจะพูดต่อไป และพยายามสื่อสารกับประชาชนในทุกครั้งที่มีโอกาส รวมถึงการให้สัมภาษณ์ประเด็นต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุดและทุกช่องทางที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ “ข่าวจริงประเทศไทย” เฟซบุ๊ค “สายตรงไทยนิยม” และ “ไทยคู่ฟ้า” รวมทั้ง GNEWS แล้วยังได้ปรับรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” โดยนำดารานักร้องหรือผู้มีชื่อเสียงมาร่วมดำเนินรายการโดยเน้นเนื้อหาการปฏิรูปประเทศ

อย่างเมื่อวันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ดำเนินรายการเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และก่อนหน้านี้ “โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” มาดำเนินรายการเรื่องธนาคารปูแหลมผักเบี้ย

โดยเฉพาะผลงานหรือนโยบายของรัฐบาลที่โดดเด่นมากที่สุดในสายตาประชาชนขณะนี้คือ โครงการประชารัฐและนโยบายไทยนิยมยั่งยืน ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเล่นการเมืองและเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ โครงการประชารัฐและนโยบายไทยนิยมยั่งยืนก็มีคำถามว่าเอางบประมาณแผ่นดินไปหาเสียงล่วงหน้าหรือไม่

จะเห็นว่าการเดินสาย “ดูด” ของ “กลุ่มสามมิตร” ที่รัฐบาลและ คสช. ยืนยันว่าไม่ผิด เพราะเป็นแค่กลุ่มก๊วนการเมืองไม่ใช่พรรคการเมือง ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล พรรคอนาคตใหม่ เดินสายพบประชาชนเพื่อค้นหาทางออกในการแก้ไขปัญหาประเทศด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านกลับโดนฟ้องร้องและเพ่งเล็งจาก คสช. และกองทัพ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มองว่าคำสั่ง คสช. เรื่องห้ามประชาชนรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางการเมืองเกิน 5 คน ไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่ต้นแล้ว แต่พอฝ่ายผู้มีอำนาจบอกว่า “กลุ่มสามมิตร” เป็นกลุ่มบุคคลไม่ใช่พรรคการเมืองจึงทำได้ ก็ทำให้ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ชัดขึ้นว่ามีการใช้คำสั่งที่ไม่ชอบธรรมและใช้อย่างไม่ยุติธรรมด้วย ถือเป็นความอัปลักษณ์ยกกำลังสอง เพราะหากประชาชนต้องการสะท้อนปัญหาความทุกข์ยากกับ นปช. หรือกลุ่มอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง จะเดินสายพบปะแล้วแถลงข่าวเสนอแนวทางแก้ไขให้รัฐบาลแบบเดียวกับ “กลุ่มสามมิตร” ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้คำอธิบายคืออะไร

“โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา โพสต์เฟซบุ๊คว่า สิ่งที่ควรเกิดขึ้นไม่ใช่ห้ามสามมิตรทำกิจกรรม แต่ต้องหยุดห้ามพรรคอื่นทำกิจกรรม กิจกรรมทางการเมืองคือการแสดงออกที่จำเป็นต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่มีใครมีสิทธิห้ามใครได้นอกจากพวกขี้ขลาดกลัวคู่แข่งทางการเมือง การตัดสิทธิทางการเมืองก็เช่นกัน เป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองชัดเจน และเป็นการละเมิดทุกคน คือทั้งคนที่อยากเสนอตัวทำงาน และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะเป็นการตัดสิทธิในการเลือก ตอนนี้เราอยู่ในระบบที่มีคนยึดสนามไปเล่นฝ่ายเดียว ตั้งกติกาเอง ตั้งตัวเองเป็นกรรมการ และจับคู่แข่งมัดมือมัดเท้าไว้ “นี่คือสนามของคนบ้า บ้าอำนาจ โดยไม่แคร์สายตาคนทั้งสนามที่ทนดูมานานเกินไป”

ตรวจฉี่อำนาจ?

เดือนกันยายนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศชัดเจนถึงอนาคตทางการเมืองและการเลือกตั้ง จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์ว่ารักชาติบ้านเมืองแบบไหน บ้าอำนาจบ้าบอคอแตกหรือไม่ ท่ามกลางการปล่อยข่าวสร้างข่าวและบิดเบือนทางการเมืองสารพัด

ยิ่งอดีตนายกฯทักษิณออกมาพูดออกมาโชว์ตัว “ผู้มีอำนาจ” ก็ออกอาการสั่นไหว ยิ่งทำให้เห็นความมั่นคงที่ไม่มั่นคงของการยึดอำนาจและความล้มเหลวในการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามตลอด 4 ปี การต่อสู้ทางการเมืองจึงถูกบิดเบือนเป็นการต่อสู้ระหว่าง “ระบอบทักษิณ” กับ “การปฏิรูปประเทศ” ทั้งที่เป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยกับกลุ่มสนับสนุนเผด็จการอนุรักษ์นิยม

การปลุก “ผีทักษิณ” ให้ออกมาหลอกหลอนโดยกลุ่มเผด็จการอนุรักษ์นิยมจึงไม่เคยเลิกรา แค่อดีตนายกฯทักษิณขยับตัวก็เต้นเป็นผีเข้าตั้งแต่หัวยันหาง แค่การประกาศสงครามเลือกตั้งครั้งหน้าว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเพียงแค่การเกทับกลุ่มสามมิตรว่า “พลังดูด” ไร้น้ำยา ไม่มีความหมายใดๆกับประชาชนที่สนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณและพรรคเพื่อไทย แม้จะมีอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยไหลออกไปหลายคน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน

จึงเป็นธรรมดา เพราะการที่พรรคเพื่อไทยกำลังถูกเขย่าฐานเสียงอย่างหนักย่อมต้องออกมาประกาศสู้ตายหรือยอมแพ้ไม่ได้ เพื่อไม่ให้ “เลือดไหลออก” ทั้งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายการเลือกตั้งใหม่ แม้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียงมากที่สุดก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้

แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยยังมีฐานเสียงที่แข็งแกร่ง แต่ยากที่จะชนะแบบถล่มทลายหรือชนะขาดอย่างในอดีต โดยเฉพาะบทเฉพาะกาล 5 ปี ที่มี ส.ว.แต่งตั้งอีก 250 เสียง รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจึงต้องเป็นรัฐบาลผสม

เชิญรับยาที่ช่อง 21

การเมืองไทยวันนี้ไม่รู้ว่าอยู่ในอาการมีสติหรือไม่มีสติ แยกไม่ออกระหว่างเมาหรือไม่เมา แยกไม่ออกระหว่างความจริงหรือมโนภาพ แล้วก็แยกไม่ออกว่าอะไรคือประชาธิปไตย อะไรคือเผด็จการ

การเมืองไทยเดินหน้าไปพร้อมกับการประดิษฐ์วาทกรรม แม้แต่ระบอบเผด็จการที่ชัดเจนยังถูกสถาปนาว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ

การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการยังถูกเบี่ยงเบนไปเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่าย “เผด็จการเสียงข้างมากในสภา” กับฝ่าย “ต้องการปฏิรูปประเทศ”

ผู้แทนปวงชนชาวไทยที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศจากการเลือกตั้งยังสามารถถูกเรียกว่าเป็น “เผด็จการรัฐสภา” แต่สมาชิกรัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้งจากคณะยึดอำนาจรัฐประหารกลับยกตนเองเป็น “ผู้ขี่ม้าขาว” เพื่อมาก่อร่างสร้างประชาธิปไตย

สังคมไทยทุกวันนี้จึงสับสน ขาดสติ เมาวาทกรรมมั่วไปหมด

โอมเพี้ยง! คนไทยจงรักสามัคคี” …ถ้าเสกเป่าคาถากันได้ง่ายๆก็คงจะดีมิใช่น้อย

แต่ความจริงนั้นตรงข้าม วันนี้เราเป็นสังคมไทยที่ป่วยหนักจนแทบไม่มีทางจะรักษา.. แต่ก็ต้องอยู่กันไปแบบไม่มีทางเลือก หรือมีทางแต่ไม่ให้เลือก ทำได้แต่กินยาแก้เครียดไปพลางๆ

เอ้า… เชิญรับยาที่ช่อง 21!!??


You must be logged in to post a comment Login