วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

คดีฉลามกินแขนคน / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On August 17, 2018

คอลัมน์ : ร้ายสาระ

ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 17-24 สิงหาคม 2561)

ชาวประมงจับฉลามเสือความยาว 14 ฟุตได้ เขาส่งมันไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หลังจากนั้นไม่กี่วันฉลามเสือแสดงอาการกระวนกระวายก่อนจะสำรอกแขนมนุษย์ออกจากท้อง ตำรวจสืบสวนเพื่อระบุตัวตนผู้เคราะห์ร้าย แต่กลายเป็นว่าเป็นคดีฆาตกรรม

วันที่ 17 เมษายน 1935 อัลเบิร์ต ฮอบสัน และเพื่อนๆนำเรือออกทะเลเพื่อตกปลาที่บริเวณหาดคูกี้ ชานเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ขณะที่อัลเบิร์ตกำลังสาวเบ็ดที่มีฉลามตัวเล็กตัวหนึ่งมาฮุบเหยื่อ ทันใดนั้นเองก็มีฉลามเสือตัวใหญ่ความยาว 14 ฟุต น้ำหนักกว่า 1 ตัน พุ่งเข้ากลืนฉลามตัวเล็กลงท้อง

อัลเบิร์ตตัดสินใจนำเรือลากฉลามเสือตัวใหญ่เข้าฝั่ง ก่อนจะช่วยกันขนย้ายฉลามเสือที่ไม่ตายไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคูกี้อควาเรียม ซึ่งชาร์ลี ฮอบสัน พี่ชายของอัลเบิร์ต เป็นเจ้าของ โดยหวังว่าฉลามเสือตัวนี้จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้

ก่อนหน้านี้ไม่นานเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม นักท่องเที่ยว 3 คนถูกฉลามทำร้ายที่บริเวณชายหาดนิวเซาท์เวลส์จนทางการต้องตั้งเงินรางวัลให้กับผู้ที่สามารถจับฉลามร้ายตัวนี้ได้ ข่าวฉลามออกทำร้ายนักท่องเที่ยว ประกอบกับธุรกิจพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไม่ค่อยดีนัก ชาร์ลีจึงเห็นด้วยว่าน่าจะใช้ฉลามเสือยักษ์ตัวนี้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว

คูกี้อควาเรียมมีสระน้ำเค็มขนาดใหญ่อยู่ในอาคาร ชาร์ลีนำฉลามเสือมาเลี้ยงไว้ในสระนี้ วันหยุดแอนแซกหรือวันรำลึกถึงการที่ทหารออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เข้าร่วมภารกิจสงครามเพื่อรักษาสันติภาพ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 เมษายนของทุกปีกำลังจะมาถึง จึงเป็นจังหวะอันดีที่จะใช้ฉลามเสือดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังพิพิธภัณฑ์

ฉลามเสือไม่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกจับตัวและสามารถกินอาหารที่ถูกป้อนให้อย่างปรกติ จนกระทั่งถึงวันแอนแซกเวลาประมาณ 16.30 น. ฉลามเสือแสดงอาการกระวนกระวาย ว่ายชนขอบสระหลายครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวดิ่งลงก้นสระและว่ายวนเป็นวงกลม ในที่สุดมันก็สำรอกอาหารออกจากท้อง มีทั้งซากนก หนู โคลน และ “แขนมนุษย์”

คดีฆาตกรรม

เจ้าหน้าที่ชันสูตรเดินทางมายังคูกี้อควาเรียม พบว่าบาดแผลที่โคนแขนไม่ได้เกิดจากถูกฟันฉลามกัด แต่เป็นแผลที่เกิดจากของมีคม และฉลามเสือนี้ไม่ได้กลืนแขนปริศนานี้ด้วยตัวเอง แขนถูกฉลามตัวเล็กกิน ฉลามเสือกินฉลามตัวเล็กซึ่งมีแขนมนุษย์อยู่ในท้องอีกที

มีเชือกพันที่ข้อมือ บ่งบอกว่าเจ้าของแขนอาจถูกมัดมือ ที่ท้องแขนมีรอยสักภาพนักมวย 2 คนในท่าทางกำลังต่อสู้ ตำรวจนำภาพรอยสักบนแขนประกาศหาผู้ที่รู้จักกับเจ้าของรอยสักบนหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วันต่อมาตำรวจได้รับการติดต่อจากเอ็ดวิน สมิท ระบุว่าเจ้าของรอยสักนี้คือ เจมส์ สมิท พี่ชายของเขาเอง เจมส์หายตัวออกจากบ้านเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

ตำรวจทำการตรวจสอบลายนิ้วมือของแขนปริศนา พบว่าเป็นลายนิ้วมือของเจมส์ สมิท วัย 40 ปี จริงตามที่เอ็ดวินกล่าวอ้าง เจมส์เคยทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก่อนจะประสบปัญหาทางการเงินทำให้ต้องหันเหมาเป็นนักมวย มีประวัติเป็นเจ้ามือการพนันและทำเรื่องผิดกฎหมายเล็กน้อย

ภรรยาของเจมส์ให้การว่า เจมส์ออกจากบ้านเมื่อเช้าวันที่ 8 เมษายน โดยบอกกับเธอว่าจะไปตกปลากับเพื่อน 2 คน แต่ไม่ได้บอกชื่อว่าเป็นใคร หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปเลย เธอจึงได้แจ้งความคนหายไว้กับตำรวจในสัปดาห์ต่อมา

องค์กรอาชญากรรม

จากการสืบสวนตำรวจพบว่ามีพยานเห็นเจมส์ครั้งสุดท้ายที่บาร์โรงแรมเซซิล เขาดื่มเหล้ากับเพื่อนชื่อแพทริก บราดี้ ก่อนจะพากันออกจากโรงแรมไปขึ้นรถแท็กซี่ ตำรวจตามตัวคนขับรถแท็กซี่มาให้ปากคำ เขาให้การว่าพา 2 คนไปส่งที่คฤหาสน์ของเรจินัลด์ โฮมส์ เจ้าของกิจการต่อเรือที่มีชื่อเสียง

แม้ว่าเรจินัลด์จะประสบความสำเร็จในธุรกิจต่อเรือ แต่เขาก็ยังทำธุรกิจผิดกฎหมาย โดยอาศัยการเป็นเจ้าของเรือหลายลำด้วยการใช้เรือเหล่านั้นลักลอบขนยาเสพติดและสินค้าหลบเลี่ยงภาษี ส่วนแพทริกมีประวัติเป็นนักปลอมแปลงเช็ค

เรจินัลด์ส่งงานให้กับเจมส์บ้างบางครั้ง มีครั้งหนึ่งที่เรจินัลด์สั่งให้เจมส์จมเรือสปีดโบ๊ตลำหนึ่งของเขาเพื่อเอาเงินประกัน แต่เกิดความผิดพลาดทำให้บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งนี่เองอาจเป็นสาเหตุให้เจมส์ถูกสังหาร

จากการสืบสวนตำรวจยังพบอีกว่า แพทริกย้ายออกจากบ้านเช่ากะทันหันหลังจากเจมส์หายตัวไปได้เพียง 2 วัน เจ้าของบ้านเช่าให้การว่า แพทริกทำความสะอาดบ้านจนเอี่ยมอ่อง ไม่เว้นแม้แต่ผนังในบ้านเช่าก็ได้รับการขัดถูจนสะอาดผิดปรกติ และเตียงนอนกับหีบใส่ของใบใหญ่ที่มีให้ไว้ในบ้านเช่าหายไป

คนตายพูดไม่ได้

ตำรวจสอบปากคำเรจินัลด์และแพทริก ทั้งคู่ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นใดๆทั้งสิ้น ขณะที่เรจินัลด์ปฏิเสธว่าไม่รู้จักแพทริกด้วยซ้ำ หลังจากนั้นวันที่ 20 พฤษภาคม เรจินัลด์นำเรือสปีดโบ๊ตลำหนึ่งออกทะเล ก่อนจะตัดสินใจชักปืนออกมายิงตัวตาย กระสุนเฉียดศีรษะแต่ร่างของเขากระเด็นตกจากเรือ เรจินัลด์ปีนกลับขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง

มีคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและโทรศัพท์แจ้งเหตุไปยังตำรวจน้ำ เรจินัลด์ติดเครื่องเรือหนีตำรวจ การไล่ล่าดำเนินไปนานกว่าชั่วโมง แต่ในที่สุดเรจินัลด์ก็ยอมแพ้ ยอมให้ตำรวจควบคุมตัวกลับมาที่ฝั่ง

เรจินัลด์ให้การว่าเขาไม่ได้จะฆ่าตัวตาย แต่เขาถูกคนลอบยิงที่บ้านจึงหนีขึ้นเรือ พอเรือตำรวจตรงมาใกล้เขาคิดว่าเป็นเรือคนร้ายไล่ล่าจึงขับเรือหนี เรจินัลด์ยอมเปิดปากคดีฆาตกรรมเจมส์ กล่าวหาว่าแพทริกเป็นคนสังหารเจมส์ที่บ้านเช่า ก่อนจะหั่นร่างออกเป็นชิ้นๆนำใส่หีบใบใหญ่ไปถ่วงที่ทะเล เว้นแต่แขนข้างซ้ายที่นำกลับมาด้วย

แพทริกนำแขนเจมส์ให้เขาดูเพื่อขู่ให้กลัว แพทริกเรียกร้องเงินก้อนใหญ่โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้เขาจะถูกสังหารแบบเดียวกับเจมส์ หลังจากข่มขู่เรจินัลด์แล้ว แพทริกก็เอาเชือกมัดข้อมือที่แขนของเจมส์ผูกกับก้อนหินเพื่อใช้เป็นตัวถ่วงให้แขนจมน้ำก่อนจะนำไปโยนทิ้งในทะเล ซึ่งต่อมาถูกฉลามกิน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมในท้องฉลามจึงมีแขนข้างเดียว แต่ไม่มีชิ้นส่วนอวัยวะอื่นๆ

เรจินัลด์รับปากกับตำรวจว่าจะให้การแบบเดียวกันนี้ในศาล ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 12 มิถุนายน แต่ก่อนหน้าเวลานัดเพียงไม่กี่ชั่วโมง เวลาเช้ามืด 01.20 น. มีคนพบเรจินัลด์ถูกยิง 3 นัดที่หน้าอกในรถของเขาเองที่บริเวณท่าเรือ

เรจินัลด์เป็นพยานเพียงคนเดียวในคดีสังหารเจมส์ เมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกับแพทริกได้ ส่วนคนขับรถแท็กซี่ปฏิเสธที่จะมาเป็นพยาน มีอาการเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ศาลสั่งยกฟ้องแพทริกเนื่องจากขาดพยานหลักฐาน แต่ขณะที่แพทริกเดินออกจากศาล เขาถูกตำรวจรวบตัวอีกครั้งในข้อหาปลอมแปลงเช็ค

แฟ้มคดีสังหารเจมส์และเรจินัลด์ถูกเก็บเข้าตู้เพราะขาดพยานและหลักฐาน แพทริกเป็นผู้บริสุทธิ์จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1965

1

1.อัลเบิร์ต ฮอบสัน (ซ้าย)

2

2.ฉลามเสือในคูกี้อควาเรียม

3

3.คูกี้อควาเรียม

4

4.รอยสักบนแขนของเจมส์

5

5.หาดคูกี้

6

6.เจมส์ สมิท

7

7.เรจินัลด์ โฮมส์

8

8.บริเวณที่พบเรจินัลด์เสียชีวิต

10

9.ฉลามเสือตัวต้นเรื่อง


You must be logged in to post a comment Login