วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เอกภาพแห่งอำนาจ

On August 29, 2018

คอลัมน์ สันติธรรม “เอกภาพแห่งอำนาจ”

โดย บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข 31  สิหาคม-7 กันยายน 2561)

หากศึกษาประวัติศาสตร์ของทุกศาสนา เราจะพบว่าในคัมภีร์ของทุกศาสนาและสิ่งที่ประกาศก (นบี) ของศาสนานำมาสอนนั้นมีหลักการขั้นพื้นฐานเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือคำสอนเรื่องหลักความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว แม้แต่ในคัมภีร์พระเวทซึ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด ทั้งนี้ เนื่องจากพระเจ้าเป็นผู้ประทานศาสนา ถ้ามนุษย์ไม่เชื่อพระเจ้า มนุษย์ก็จะไม่เชื่อในศาสนาที่เป็นคำสอนของพระเจ้า

บราฮัม โมเสส ดาวูด โซโลมอน เยซัส และมุฮัมมัด ล้วนยืนยันว่าพระเจ้ามีองค์เดียว

masjid nabawi2

คัมภีร์ไบเบิลสั่งห้ามการทำรูปปั้นขึ้นมาเคารพสักการะแทนพระเจ้า คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า ถ้าจักรวาลนี้มีพระเจ้า 2 องค์หรือมากกว่านั้น จักรวาลจะเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ เพราะถ้าหากพระเจ้า 2 องค์ไม่ลงรอยกันเมื่อใด ความโกลาหลก็จะเกิดขึ้นในหมู่ดาวนับแสนล้านดวงที่โคจรอยู่ในจักรวาลเมื่อนั้นทันที

ก่อนหน้าราชวงศ์ฟาโรห์จะขึ้นมาครองอำนาจในอาณาจักรไอยคุปต์ ผู้คนเคารพบูชาดวงดาวและภูตผีปิศาจ โยเซฟ (ยูซุฟ) ได้เผยแผ่เรื่องความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวแก่เพื่อนร่วมคุก 2 คนด้วยคำถามง่ายๆว่า การมีนายคนเดียวหรือมีนาย 2 คน อย่างไหนดีกว่ากัน

บนหน้าแผ่นดินไม่มีผู้ปกครองอาณาจักรคนใดต้องการให้ใครขึ้นมามีอำนาจเป็นคู่แข่งกับตน เพราะถ้าอาณาจักรใดมีผู้ยิ่งใหญ่ 2 คน ความไม่สงบจะเกิดขึ้นในอาณาจักรนั้นทันที และผู้คนจะได้รับความเจ็บปวดติดตามมา

ดังนั้น เมื่อใครขึ้นครองอำนาจ สิ่งแรกที่ผู้มีอำนาจต้องการก่อนก็คือ การให้ผู้ที่ต้องการจะอยู่ร่วมกับตนอย่างสงบมาให้สัตย์สาบานยอมรับอำนาจหนึ่งเดียวของตน

สมัยก่อนหน้าอิสลามสังคมอาหรับไม่มีรัฐบาลกลางและไม่มีกฎหมาย หัวหน้าเผ่าใหญ่ที่เข้มแข็งที่สุดจะได้รับการยอมรับให้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และเผ่าเล็กๆที่ต้องการอยู่อย่างสงบต้องมาให้สัตยาบันยอมอยู่ใต้อำนาจของผู้นำเผ่าใหญ่

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มปฏิบัติภารกิจนำอิสลามมาเป็นกฎหมายจัดระเบียบชีวิตของมนุษย์ สิ่งแรกที่ท่านทำคือการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้เลิกเคารพกราบไหว้วัตถุบูชาทั้งหลายเป็นพระเจ้า และหันมาศรัทธาในอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าองค์เดียว และเมื่อใครศรัทธาในพระเจ้าแล้ว คนผู้นั้นต้องเชื่อฟังพระเจ้าตามที่นบีมุฮัมมัดได้รับบัญชามา

ด้วยคำสอนเช่นนี้เองที่ทำให้ผู้ปกครองชาวอาหรับในเมืองมักก๊ะฮฺมองว่านบีมุฮัมมัดกำลังจะมาทำลายล้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตทางสังคมของชาวอาหรับ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ปกครองชาวอาหรับยังถือว่านบีมุฮัมมัดกำลังเป็นอำนาจคู่แข่งกับตน ด้วยเหตุนี้ผู้ปกครองชาวอาหรับจึงทนไม่ได้และต่อต้านท่าน

นบีมุฮัมมัดพยายามอธิบายให้ผู้ปกครองชาวอาหรับรู้ว่าตัวท่านมิใช่ผู้มีอำนาจสูงสุดหรือเป็นอธิปไตย พระเจ้าต่างหากที่เป็นอธิปไตย ท่านเป็นเพียงตัวแทนของพระเจ้าในการใช้อำนาจของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน เพราะในเมื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้างดวงดาวในจักรวาลและวางกฎระเบียบให้ดวงดาวนับแสนล้านดวงโคจรอยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบแล้ว มนุษย์ก็ควรอยู่ในกฎระเบียบของพระเจ้าที่อยู่ในรูปของศาสนาเช่นกัน แต่ผู้ปกครองชาวอาหรับไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้และขับไล่ท่านออกจากเมือง

เมื่อนบีมุฮัมมัดก่อร่างสร้างรัฐอิสลามที่เมืองยัษริบจนมีความเข้มแข็ง และสามารถนำกำลังคนกลับมายึดเมืองมักก๊ะฮฺที่เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของคาบสมุทรอาหรับได้ คัมภีร์กุรอานจึงกลายเป็นธรรมนูญการดำเนินชีวิตของผู้ศรัทธาในพระเจ้า และชาวอาหรับจากเผ่าต่างๆได้เดินทางมาให้สัตย์สาบานยอมรับการเป็นประมุขของนบีมุฮัมมัดและอธิปไตยของพระเจ้า

ด้วยการยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าองค์เดียวและยอมรับนบีมุฮัมมัดเป็นผู้นำแต่เพียงผู้เดียวภายใต้คัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญฉบับเดียวนี้เองที่ทำให้อิสลามขยายตัวข้ามแผ่นดินอาหรับไปยังส่วนต่างๆของโลก และมุสลิมทุกคนยังคงยืนยันในเรื่องนี้ทุกครั้งในการละหมาด

  


You must be logged in to post a comment Login