- อย่าไปอินPosted 3 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 21 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นโยบายขาว-ดำ
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
สถานการณ์การเมืองหลังปลดล็อกกลางเดือนนี้ ความเคลื่อนไหวต่างๆจะทวีความเข้มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันทางนโยบาย การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าน่าจะเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นนโยบายพรรคการเมืองที่แตกต่างกันแบบดำกับขาว เพราะการเมืองมาถึงจุดที่แต่ละฝ่ายต้องแสดงจุดยืนให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจน หลายนโยบายอาจถูกมองว่าสุดโต่ง แต่มีความจำเป็นต้องชูเป็นประเด็นหาเสียง ซึ่งพอได้ยินกันมาบ้างแล้ว อย่างเช่น การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ขายเรือดำน้ำ ล้มล้างผลพวงรัฐประหาร แก้รัฐธรรมนูญ หมดเวลาออกนโยบายแบบกั๊กๆหรือนโยบายแบบ routine หมดเวลาแข่งขันกันที่ตัวบุคคลมากกว่าการแข่งขันด้านนโยบายเหมือนที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์นี้ ก่อนที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา น่าจะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ
น่าจะเป็นสัปดาห์ที่ได้รู้ว่ากลุ่มสามมิตรภายใต้การนำของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง จะยกพลไปสังกัดพรรคการเมืองใด หากเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐก็ต้องแสดงตนในวันที่ 15 กันยายน ที่มีนัดหมายประชุมใหญ่พรรคเพื่อเลือกคณะผู้บริหารและผู้นำพรรค
นอกจากความชัดเจนในอนาคตของกลุ่มสามมิตรแล้ว อีกความชัดเจนที่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันคือ การโยกย้ายพรรคของอดีต ส.ส. ว่าจะมีใครมาร่วมงานกับกลุ่มสามมิตรบ้าง
อย่างไรก็ตาม หากยังไม่มีการเปิดตัวในกลุ่มที่กำลังพิจารณาข้อต่อรองเพื่อเปรียบเทียบข้อเสนอจากต้นสังกัดเก่าและว่าที่ต้นสังกัดใหม่ อดีต ส.ส. กลุ่มนี้คงรอจนนาทีสุดท้ายก่อนตัดสินใจว่าจะอยู่ที่เดิมหรือย้ายพรรค ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มใหญ่พอสมควร
ทั้งนี้ สิ่งที่จะตามมาหลังการเข้าสังกัดพรรคการเมืองคือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มสามมิตรจะมีข้อจำกัดมากขึ้น ไม่สามารถอ้างความเป็นกลุ่มการเมืองเคลื่อนไหวได้ถนัดเหมือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ความได้เปรียบที่มีก่อนหน้านี้ลดน้อยลง
เมื่อถึงเวลาต้องสู้ในเงื่อนไขเดียวกับกับพรรคการเมืองอื่นก็น่าสนใจว่าพลังขับเคลื่อนของกลุ่มสามมิตรจะยังน่าสนใจเหมือนช่วงที่ผ่านมาอยู่หรือไม่
ทุกย่างก้าวของกลุ่มสามมิตรหากเป็นเพียงการรวมตัวกันของนักการเมืองธรรมดาทั่วไปถือว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ จุดที่ทำให้กลุ่มสามมิตรมีความสำคัญเพราะถูกนำไปผูกโยงกับกลุ่มอำนาจปัจจุบันที่คิดจะอยู่ในอำนาจต่อไปหลังการเลือกตั้ง โดยมีกลุ่มสามมิตรเป็นบันไดพาดให้ไปสู่เป้าหมายนั้น
หลังความชัดเจนในอนาคตของกลุ่มสามมิตร ความชัดเจนในเรื่องการโยกย้ายพรรคของบรรดาอดีต ส.ส. เมื่อถึงเวลาปลดล็อกให้พรรคการเมืองเริ่มทำกิจกรรมต่างๆได้ ความเคลื่อนไหวต่างๆจะทวีความเข้มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันกันทางนโยบาย
การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าน่าจะเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นนโยบายพรรคการเมืองที่แตกต่างกันแบบดำกับขาว เพราะถึงเวลาที่แต่ละฝ่ายต้องแสดงจุดยืนของตัวเองให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจน ไม่สามารถเล่นการเมืองไปวันๆ แข่งขันกันที่ตัวบุคคลมากกว่าแข่งขันกันด้านนโยบายเหมือนที่ผ่านมา
หลายนโยบายอาจถูกมองว่าสุดโต่ง แต่มีความจำเป็นต้องชูเป็นประเด็นหาเสียงเพื่อให้มองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น นโยบายของพรรคอนาคตใหม่ที่ประกาศยืนตรงข้ามขั้วอำนาจปัจจุบันอย่างท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการล้มล้างผลพวงรัฐประหาร แก้รัฐธรรมนูญ
หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องแสดงให้กลุ่มผู้สนับสนุนได้เห็นว่าอยู่คนละขั้วกับกลุ่มอำนาจปัจจุบันแบบไม่เผาผี และต้องการสร้างภูมิคุ้มกันรัฐประหารไม่ให้เกิดขึ้นได้ง่ายๆอีกในอนาคต เช่น การประกาศยกเลิกเกณฑ์ทหาร หรือขายเรือดำน้ำที่ซื้อมาในรัฐบาล คสช.
ขณะที่อีกฝ่ายก็บดขยี้โครงการรับจำนำข้าวอย่างต่อเนื่อง และพยายามเสนอสิ่งที่คิดว่าจะสร้างความยั่งยืนในด้านราคามากกว่า และพูดตอกย้ำกับประชาชนทุกครั้งที่มีโอกาสว่าให้เลือกคนดีมาบริหารบ้านเมือง
นี่ขนาดแค่วอร์มเครื่องอยู่หลังเส้นสตาร์ตยังเร่งเครื่องใส่กันเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามแรงถึงเพียงนี้
ไม่ต้องคิดว่าเมื่อเสียงนกหวีดดังออกมา เส้นสตาร์ตจะมีความเข้มข้นมากเพียงใด
You must be logged in to post a comment Login